29 มีนาคม 2558

ว่าด้วยเรื่องของ "ค่าคอม"

สำหรับการซื้อขายหุ้นในปัจจุบัน แม้ค่าคอมมิ่ชชั่นจะถูกแสนถูกคือ 0.15% สำหรับการซื้อขายด้วยตัวเอง แต่คำกล่าวนึงที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินคือ "อย่าซื้อขายหุ้นบ่อยๆ เพราะค่าคอมจะกินเราทั้งเป็น" มันก็ยังคงอยู่ ว่าแต่ทำไมค่าคอมมิชชั่นถึงจะเล่นงานเราได้ล่ะ ?


ตัวอย่างคือแบบนี้ครับ สมมติเรามีเงินทั้งหมด 1,000,000 บาท และเทรดซื้อๆ ขายๆ ประมาณสัก 500 รอบ (ซื้อและขาย) นั่นแปลว่ามูลค่าการซื้อขายของเราก็คือ 1,000,000,000 บาท (พันล้าน) หากเสียค่าคอม 0.15% ต่อครั้ง ไม่รวมภาษีนะ เราจะเสียเงินเฉพาะค่าคอมอย่างเดียวถึง 1.5 ล้านบาท และตรงนี้แหละครับที่ทำให้หลายคนกลัว เพราะมันมากกว่าเงินต้นเราซะอีกแหน่ะ !

แต่เดี๋ยว.. ผมว่าเราพลาดอะไรไปบางอย่างนะ

26 มีนาคม 2558

ซื้อแพงขายถูกถ้าอยากรวย !

ผมเมารึเปล่าที่ตั้งชื่อบทความแบบนี้ ? ไม่ได้เมาหรอกครับ ผมตั้งใจเขียนแบบนี้จริงๆ แต่เอ๊ะ ปกติแล้วเนี่ย การทำเงินจากหุ้นมันจะต้อง "ซื้อถูก ขายแพง" ไม่ใช่เหรอ ทำไมผมถึงเขียนแบบว่าซื้อแพงขายถูกแล้วจะรวยได้ ?




ใครที่ติดตามผมมาสักพัก จะรู้ว่าผมชอบโหลดคลิปจากยูทูปมาฟังตอนอยู่บนบีทีเอสประจำ (ยกเว้นตอนที่พิมพ์บทความนี้) โดยคลิปล่าสุดที่ผมโหลดมาเป็นคลิปของ "ลุงโฉลก" ผู้เป็นปรมาจารย์อันดับ 1 ของไทยในด้านการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค (ลิ้งนี้เลยตัวเอง https://www.youtube.com/watch?v=ORLCfIuUC6g)

ฟังไปแรกๆ ผมก็งงอยู่นะครับ แต่มีท่อนนึงที่ผมชอบมากๆ ที่คุณลุงโฉลกพูดก็คือ

25 มีนาคม 2558

ปิดหน้าจอเยียวยาทุกสิ่ง

สมมติเราซื้อหุ้นตัวนึงแล้วมันลง เราจะทำยังไงเพื่อไม่ให้ใจของเราวอกแวกดีครับ ? ถ้าหากใจเรามันหวั่นไหวเพราะราคาหุ้น ผมเชื่อว่าวิธียอดนิยมที่คนส่วนใหญ่ใช้ ก็คงหนีไม่พ้นการ "ปิดจอ"


ผมเองก็เห็นว่ามันเป็นวิธีที่ดีเหมือนกันนะ เพราะสำหรับคนที่ลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน (หรือวิธีใดก็ตามที่ต้องใช้เวลาในการถือหุ้น) การเลือกที่จะไม่รับรู้ราคาหุ้นสามารถทำให้เราไร้อารมณ์ได้อย่างน่าประหลาดและไม่เครียดด้วย เพราะเราไม่ต้องเจอความผันผวนมากดดัน

ใช่ มันไม่เครียดก็จริง แต่มันจะไม่มีกำไรด้วยน่ะสิ !

23 มีนาคม 2558

สรุปเนื้อหาการสัมมนาในหัวข้อ "กลยุทธ์เลือกหุ้นวีไอ ผสานหลักเก็งกำไรสไตล์เด็กแนว"

เกริ่นนำ

ทำไมนักลงทุนส่วนใหญ่ถึงเจ๊ง 80%, กำไรพอเพียง 19% และ 1% เท่านั้นที่รวยสุดๆ ทั้งที่ในปีที่ผ่านมาหุ้นขึ้นตลอด แต่คนขาดทุนเพราะซื้อหุ้น “ผิดตัว” และ “ผิดเวลา”





ถ้าต้องการเสถียรภาพในการทำกำไรในระยะยาวทำยังไง ?

ควรลงทุนด้วยการลงทุนแบบนักธุรกิจหุ้น คือการมองหุ้นเสมือนเป็นกิจการหนึ่งที่เราต้องติดตาม และเข้าซื้อในราคาที่เหมาะสม หรือซื้อในราคาที่แพงกว่าอีกเล็กน้อยได้ถ้ากิจการนั้นดีจริง

ในพอร์ตของนักลงทุนทุกคนควรจะมีหุ้นที่ลงทุนในลักษณะนี้อย่างน้อยตัวหรือสองตัว เมื่อเวลาผ่านไปนานพอผลลัพธ์ที่ได้จะคุ้มค่า ส่วนวิธีการลงทุนแบบนักธุรกิจหุ้นก็คือ อ่าน 56-1, อ่าน Annual Report หรือไม่ก็บทวิเคราะห์ และลองตั้งเป้าหมายต่างจากคนอื่น

21 มีนาคม 2558

รีวิวการใช้งานแอป Market Anyware

มาตามสัญญาสำหรับรีวิวการใช้งานแอป Market Anyware ก่อนอื่นเลยผมเองไม่ได้มีส่วนได้ส่วนเสียในการรีวิวครั้งนี้ครับ แค่ใช้เองแล้วรู้สึกพึงพอใจแบบ "มากๆ" (ใช้คำว่าโคตรๆ อาจจะเหมาะกว่า) เลยจะมารีวิวให้ได้ดูกัน ว่าแอปสัญชาติไทยแอปนี้มีดีอะไรบ้าง



ก่อนอื่นเลยนี่เป็นแอปที่มาแปลกพอสมควร คือปกติแล้วโปรแกรมหรือแอปดูหุ้นส่วนใหญ่มักจะอยู่ในอุปกรณ์เดียวเท่านั้น เช่น Biznews หรือ eFin ก็จะใช้ในคอมเป็นหลัก (ใช้ผ่านโทรศัพท์ได้เหมือนกันแต่ก็แค่ขำๆ) หรือแอปหุ้นชื่อดังอย่าง Stock Radars เองก็ทำขึ้นมาเพื่อใช้ในโทรศัพท์และแท๊ปเล็ตโดยเฉพาะ ไม่มีให้ใช้ในคอมแต่อย่างใด

แต่สำหรับ Market Anyware มันมาเหนือชั้นมากๆ คือทางผู้พัฒนาได้ทำออกมาทั้งเวอร์ชั่นโทรศัพท์ แท๊บเล็ต แถมใช้ในคอมพิวเตอร์ได้อีกด้วย ! (ได้ทั้ง Mac และ Windows อีกตะหาก อ้อ ! Ubuntu ด้วยนะ) ซึ่งในการรีวิวครั้งนี้ผมจะใช้เวอร์ชั่น PC นะครับ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะทั้งในโทรศัพท์และแท็บเล็ตก็ใช้งานง่ายไม่ต่างกับในคอมเลย ส่วนนี่คือลิ้งดาวน์โหลดนะครับ http://marketanyware.com/

โอเค เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า 

18 มีนาคม 2558

VI เสี่ยงน้อยกว่าจริงอ่ะ ?

อืมนั่นสิ การลงทุนแบบเน้นคุณค่ามันเสี่ยงน้อยกว่า (หรือดีกว่า) จริงๆ เหรอ เท่าที่เราเห็นตามเว็บของตลาดหลักทรัพย์หรือเพจหุ้นสำหรับมือใหม่ มักจะแนะนำคล้ายกันเลยว่า หาหุ้นที่ ROE สูงต่อเนื่อง, ยอดขายโตต่อเนื่อง หรือกำไรโตต่อเนื่อง แล้วลงทุนกับมันสัก 10-20 ปี แค่นี้ก็เป็นเศรษฐีเหมือนบัฟเฟตต์หรือเซียนคนอื่นได้แล้ว !




ถ้าว่ากันตามเหตุผล ผมว่ามันถูกอยู่นะครับ เพราะถ้าเราเลือกหุ้นที่มีองค์ประกอบคร่าวๆ อย่างที่ผมบอกไป ราคาหุ้นก็สามารถขึ้นไปได้ 3-5 เท่าหากเราลงทุนด้วยระยะเวลาที่นานพอ

แต่ปัญหาหลักคือ ระยะเวลาที่เราเสียไปสิบปีเพื่อผลตอบแทน 3 เท่า เราจะทนต่อเสียงคนรอบข้างที่ทำกำไรได้ปีละ 50% ได้รึเปล่า เพราะผมว่าเวลาสิบปีกับเงินที่โตขึ้นสามเท่า มันไม่ได้มากเท่าไหร่เลยนะ (หุ้นหลายตัวตั้งแต่วิกฤติปี 2008 โตมากกว่า 5 เท่าด้วยซ้ำ ถึงขนาดที่เซียนคนนึงเคยบอกผมว่าไว้ว่าถ้าพอร์ตโตน้อยกว่า 5 เท่าแสดงว่าคุณแพ้ตลาด !) และอีกอย่างที่สำคัญคือ แนวทางการลงทุนที่เรียกว่า VI มันถูกกับจริตเรามากแค่ไหนกัน ?

สำหรับคำถามที่ว่าการลงทุนแบบ VI นั้นเสี่ยงน้อยกว่า ความเสี่ยงในที่นี้ไม่ได้มาจากราคาที่เข้าซื้อครับ แต่มันอยู่ที่การเลือกหุ้น

14 มีนาคม 2558

เล่นกับเป้า !?

ดูเหมือนคำถามที่ว่า "เล่นหุ้นแบบไหนดี" จะยังคงเป็นคำถามสุดฮิตสำหรับนักลงทุนหน้าใหม่ เพราะถึงแม้แนวทางของการลงทุนจะแบ่งได้เป็นสองทางหลักคือพื้นฐานและเทคนิค แต่รายละเอียดยิบย่อยนั้นมันมีอีกเยอะมาก

ถ้างั้นแนวไหนดีที่สุด ? อืม.. พอมีคนถามผมทีไรผมก็ตอบว่าไม่รู้ตลอดแหละ 5555 เหมือนที่ผมชอบพูดเสมอว่ามันเหมือนกับการจีบสาว คนบางคนอาจจะชอบสาวเปรี้ยวแสบซ่า หรือบางคนอาจชอบกุลสตรีที่คะขาทุกคำก็ได้ ไม่มีอะไรถูกผิด

ซึ่งการหาแนวทางของตัวเองคือสิ่งสำคัญ แต่มันจะยากหน่อยเพราะเราอาจต้องเสียเวลาขึ้นเพื่อลองผิดลองถูก หรือถ้าอยากได้ทางลัดเพิ่มอีกนิดคือทำเหมือนผมก็ได้ครับ อ่านเยอะๆ ทุกวันนี้ผมก็นั่งอ่านหนังสือฟรีตามร้านเหมือนเดิมนะ

แต่ผมมีเคล็ดลับอย่างนึงมาบอก ถ้าเกิดเราอ่านหนังสือแล้วยังไม่รู้ว่าจะใช้แนวทางไหนดี ลองใช้วิธี "กำหนดเป้าหมาย" สิ !

12 มีนาคม 2558

นักลงทุนตัวจริง "ไม่ดู" อะไร ?

เมื่อวานซืนก่อนโน้น ผมได้คุยกับพี่ๆ ในกรุ๊ปไลน์หุ้นกลุ่มนึง สิ่งที่พวกเราคุยกันในวันนั้นไม่ใช่การหาหุ้นซิ่งตัวต่อไปเหมือนกรุ๊ปไลน์อื่นๆ ครับ แต่เรื่องที่เราคุยกันมันมาจากคำถามเชิงทีเล่นทีจริงที่ว่า "นักลงทุนพื้นฐานชั้นเซียนเค้า 'ไม่ดู' อะไร"

คนที่ถามคำถามนี้เป็นแอดมินเพจชื่อดังเพจนึงเลยนะ ผมก็งงสิ ปกติแล้วนักลงทุนสายพื้นฐานจะดูอะไรและไม่ดูอะไรบ้างล่ะ ? ที่แน่ๆ สิ่งที่ดูก็คืองบการเงิน ผู้บริหาร ลักษณะธุรกิจ และอื่นๆ แต่สิ่งที่ไม่ดูเหรอ อืม.. ก็คงเป็นราคาหุ้นมั้งที่อาจจะไม่ดูสักเท่าไหร่

แต่ผิดคาดครับ "งบการเงิน" นั่นแหละคือสิ่งที่นักลงทุนตัวจริงให้ความสำคัญน้อยที่สุด !




น่าคิดนะว่าทำไมสิ่งที่นักลงทุนเกือบทุกคนต้องดูมันกลับเป็นสิ่งที่เซียนๆ ทั้งหลายไม่ให้ความสนใจ พี่คนที่ถามคำถามเค้าอธิบายเหตุผลง่ายๆ เพียงข้อเดียว นั่นคืองบการเงินมันเป็นเรื่องของ "อดีต"

แต่เราใช้อดีตมาทำนายอนาคตได้ไม่ใช่เหรอ เพราะมีคนจำนวนมากที่ลงทุนในหุ้นของบริษัทที่มีงบการเงินตามตำรา แล้วได้ผลตอบแทนที่น่าพอใจซะด้วย (ตามตำราที่ว่านี้คือ ROE สูง ROA สูง อะไรทำนองนี้) ซึ่งผมเองไม่เถียงครับว่ามันให้ผลตอบแทนสูง 3-4 เท่าก็จริง แต่เวลาที่เราเสียไปกับการถือหุ้นมันอาจเกือบสิบปีเลยก็ได้ ขณะที่เซียนตัวจริงอาจทำผลตอบแทนได้ 10 เด้งในเวลา 5 ปี

ถ้างั้นเหล่าปรมาจารย์ที่ผมพูดถึงเค้าดูอะไร ? 

9 มีนาคม 2558

แท่งเดียวก็เสียวได้

ประสบการณ์สดๆ ร้อนๆ ที่ผมเพิ่งเจอมานั้นเกี่ยวกับ "การดูแท่งเทียน" ครับ อย่างที่เรารู้กันว่าแท่งเทียนคือรูปแบบกราฟชนิดหนึ่งที่นิยมดูกันมาก เพราะในแต่ละแท่งนั้นสามารถบอกได้ถึง 4 ราคา คือราคาเปิด ราคาปิด ราคาสูงสุดและต่ำสุด


ซึ่งการดูแท่งเทียนก็จะมีหลายกรอบเวลา (Time Frame) เรามามารถเลือกได้ว่าจะดูภาพ Day (หนึ่งแท่งแทนหนึ่งวัน) ภาพ Week (แท่งละสัปดาห์) หรือภาพ Month จนกระทั่งภาพที่เล็กที่สุดอย่างแท่งละ 1 นาทีก็มี

สาเหตุที่ต้องมีหลายกรอบเวลานั้นเพราะขึ้นอยู่กับสไตล์คนเล่นครับ บางคนที่เป็นเทรดเดอร์อาจใช้ TF 30 นาที ขณะที่นักลงทุนระยะยาวอาจใช้กราฟ Week เป็นตัวตัดสินใจซื้อหุ้นเพื่อลงทุนก็ได้ ไม่มีใครถูกผิด ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม

แต่มันจะผิดทันทีถ้าทำแบบผมนั่นแหละ !

7 มีนาคม 2558

จ่ายแป๊ะเจี๊ยะยังไงให้มัดใจผอ.

เมื่อวานหลังจากที่ผมกลับจากการทำงานที่ Stock2Morrow ตอนสี่ทุ่ม ผมเองก็ยังไม่ได้กลับบ้านจริงๆ จังๆ หรอกครับ เผอิญพ่อผมไปนั่งกินข้าวที่บ้านเพื่อน (กินเหล้านั่นแหละ) ผมจึงนั่งรถไปหาพ่อแทนเพื่อที่จะติดรถกลับเข้าบ้านพร้อมกัน

หลังจากที่ผมมาเจอพ่อกับเพื่อนๆ ของพ่อ มีน้าคนนึงที่เลี้ยงดูผมมาตั้งแต่เด็กมากๆ ถามคำถามขึ้นกลางวงเหล้าเลยว่า "ต้น เองพอจะรู้จักครูที่โรงเรียน XXX บ้างมะ"

"พอรู้จักแต่ไม่สนิทมากครับ ทำไมเหรอครับ ?" ผมถามกลับ

"อ๋อ พอดีมีญาติน้าคนนึงเค้ามีลูกน่ะ เกรดแค่ 3.7 แต่อยากเข้าโรงเรียนนี้มาก พอจะช่วยได้บ้างมั้ย"

ความหมายง่ายๆ ของประโยคนี้ก็คือต้องจ่ายเท่าไหร่เพื่อที่จะได้เข้านั่นเอง ถ้าภาษาแบบสุภาพเราจะเรียกว่า "ค่าบำรุงการศึกษา" แต่ความจริงแล้วมันก็คือแป๊ะเจี๊ยะดีๆ นั่นแหละ !


ทำไมต้องให้แป๊ะเจี๊ยะโรงเรียนด้วย ? แน่นอนว่าจุดประสงค์หลักของผู้ปกครองคือต้องการให้ลูกหลานได้เข้าโรงเรียนดีๆ (แม้จะไม่ใช่วิธีการที่ถูกต้องก็ตาม) รวมถึงค่านิยมของคนเองด้วยว่าการได้เรียนในโรงเรียนดีๆ จบออกมาก็จะได้งานดีๆ และประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก

แต่ชีวิตจริงมันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ?

5 มีนาคม 2558

คัทลอสไปทำไมให้เปลืองค่าคอม !

สืบเนื่องจากวันนี้ มีกระทู้นึงในพันทิปที่ตั้งชื่อได้อย่างดุดันมากๆ ว่า "การ 'คัทลอส' คือกุศโลบายของโบรคเกอร์ ที่เอาไว้หลอกคนโง่" เนื้อความโดยสรุปก็ตามชื่อกระทู้เลยครับ เราจะคัทลอสไปทำไมเพราะมันเป็นเพียงแค่เรื่องไร้สาระที่โบรคเกอร์เอาไว้หลอกนักลงทุนนั่นแหละ (วาปอยู่นี่นะตัวเอง http://pantip.com/topic/33322836)

มาทำความเข้าใจเข้าใจกับคำว่าคัทลอสกันก่อน "คัทลอส" ความหมายง่ายที่สุดก็คือการขายหุ้นเมื่อหุ้นที่เราถืออยู่ดัน "ผิดทาง" เช่นสมติ เราซื้อหุ้นบริษัท XXX ที่ราคา 10 บาท และตั้งธงเอาไว้ในใจว่าหากราคาลงไปต่ำกว่า 9 บาทชั้นจะขายนะ หากไม่กี่วันต่อมาหุ้นดันผิดทางจนราคาไหลลงไปเหลือต่ำกว่า 9 บาทจริงๆ เราจะต้องขายแบบไม่มีเงื่อนไข คือยอมตัดนิ้วเพื่อรักษาร่างกายเอาไว้

สำหรับในทางปฏิบัติ นักลงทุนแต่ละคนล้วนยอมรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากันอยู่แล้วครับ บางคนอาจยอมขาดทุนได้ 20% หรือบางคนอาจยอมได้แค่ 5% ซึ่งการคัทลอสแบบนี้แหละที่ในกระทู้นั้นได้อธิบายไว้ว่าเป็นการคัทลอสที่ผิดพลาด เพราะถ้าเราเลือกหุ้นมาเป็นอย่างดีแล้ว ทำไมต้องคัทลอสให้เสียเงินเล่น ?

จะว่าไปถ้ามองแค่มุมนี้มันก็จริงนะ เพราะการคัทลอสโดยตั้งเองเออเองว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้เท่านั้นเท่านี้ มันเป็นอะไรที่มั่วพอๆ กับการแทงหวยเลย เราจะรู้ได้ไงว่าหากสมมติเรายอมขาดทุน 10% แล้วหุ้นที่เราซื้อมันจะลงไปไม่ถึง 10% ก่อนจะพุ่งขึ้นต่อ ? มันอาจลงไปสัก 20% แล้วพุ่งไปอีกเป็นเด้งก็ได้ ไม่มีใครรู้

แต่.. ผมใช้คำว่า "แค่มุมนี้" เพราะสำหรับการคัทลอส มันไม่ได้มีวิธี "ตั้งเองเออเอง" แค่วิธีเดียวสักกะหน่อย !

2 มีนาคม 2558

กับดักของไพ่คู่ A

การเล่นไพ่แทบทุกชนิดนั้นเกือบจะเรียกได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่ามันคือ "การพนัน" ที่ผมใช้คำว่าเกือบทุกชนิดก็เพราะว่ามันยังมีไพ่บางประเภทครับที่ต้องใช้ "ฝีมือ" ในการเล่นด้วย ซึ่งหนึ่งในไพ่ที่คนนิยมและรู้จักมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้น "โปกเกอร์"

ทำไมผมถึงบอกว่ามันใช้ฝีมือด้วย ? นั่นเพราะในการเล่นแต่ละครั้งเราสามารถกำหนดเงินที่ต้องการจะเสียได้ โดยในตอนแรกผู้เล่นแต่ละคนจะได้รับไพ่คนละสองใบ หากเราดูไพ่และเห็นว่ามันน่าเล่น เราก็แค่ Bet เงินเดิมพันตามที่โต๊ะนั้นกำหนดไว้ (ที่ผมเล่นเมื่อคืนในเกมก็เล่นกันทีละ $2,000) 


แต่ถ้าเราคิดว่าไพ่ไม่ดีนัก เราก็สามารถ Fold (หมอบ) และรอเล่นรอบต่อไปได้ หรือถ้าเรามั่นใจมากว่าไพ่ชั้นมันดีจริงๆ นะ เราก็สามารถ Raise (เก) เงินเพิ่มได้ด้วย ซึ่งทันทีที่ทุกคนในโต๊ะลงเงินเรียบร้อย ไพ่กองกลางจะถูกเปิดขึ้นมาก่อน 3 ใบ และตามด้วยใบที่ 4 กับ 5 แล้วหาผู้ชนะ

เรื่องรายละเอียดของการเล่นผมขอไม่เจาะลึกนักเพราะมันเยอะมาก (ไม่งั้นบทความนี้จะกลายเป็นการสอนเล่นโปกเกอร์ไปโดยปริยาย) แต่จุดที่น่าสนใจอยู่ตรงนี้ครับ ในการเล่นโปรเกอร์นั้นไพ่ที่มีค่าสูงสุดคือไพ่ A  หากเราเล่นไปเล่นมาจนสุดท้ายเราได้คู่ A (A หนึ่งใบในมือ และ A หนึ่งใบในกองกลาง) ในขณะที่อีกคนได้คู่ Q เราก็จะชนะเพราะไพ่เรามีค่ากว่า จึงไม่แปลกที่ในการเล่นแต่ละครั้งหากใครมีไพ่ A สักใบในมือจะกล้า Bet ด้วยเงินสูงๆ

สาเหตุที่ผมใช้ชื่อบทความว่า "กับดักของไพ่คู่ A" ไม่ใช่เพราะว่าเรามีไพ่ A หนึ่งใบในมือแล้วในกองกลางมีอีกใบนะครับ แต่ผมหมายถึงการที่ไพ่สองใบแรกที่แจกให้กับผู้เล่นทุกคน แล้วเราได้ไพ่คู่ A ทั้งๆ ที่ยังไม่เปิดกองกลางสักใบนั่นแหละ ! 

1 มีนาคม 2558

เซียนพันล้านผู้ไม่รู้อนาคตของหุ้นตัวเอง

เมื่อไม่กี่วันก่อน มีแอดมินเพจชื่อดังเพจนึงได้เข้ามาคุยกับผม (น่าจะใช้คำว่าปรับทุกข์มากกว่า) เรื่องของเรื่องก็คือ เพจของพี่คนนั้นมีคนไลค์เยอะมากครับ แต่บทความที่เค้าโพสไปกลับมีคนไลค์น้อยมาก (ไม่ถึง 2% ของยอดไลค์เพจทั้งหมด)

ในขณะที่เพจหุ้นทั่วไปที่ชอบ "ใบ้หุ้น" ว่าหุ้นตัวนั้นตัวนี้จะสามารถพุ่งไปสู่ดาวอังคารได้ กลับมียอดไลค์เพจอย่างล้นหลาม และแต่ละโพสคนก็ไลค์และแชร์กันสนั่นหวั่นไหว (น้ำตาจะไหล ขอแชร์นะครับ) แล้วทำไมเพจของเราพี่เค้าถึงไม่มีคนมาไลค์บทความเลยล่ะ หรือว่าคนชอบการใบ้หุ้นมากกว่าความรู้ ?

"ก็อาจใช่ครับ" นี่คือสิ่งที่ผมตอบไป "แต่พี่อย่าทำตามเพจทั่วไปเด็ดขาดนะ จริงอยู่ที่เพจของพี่จะไม่ได้ใบ้หุ้นเลยมีคนสนใจน้อย แต่เพจพี่มีสิ่งนึงที่คนอื่นไม่มี นั่นคือเรื่องของความรู้ สุดท้ายถ้าคนทั่วไปรู้ว่าการใบ้หุ้นมันไม่ต่างอะไรกับการ 'เดา' เค้าก็ต้องกลับมาหาความรู้เองนั่นแหละครับ"

แล้วการสนทนาของผมกับพี่แอดมินก็จบลงเพียงเท่านี้.. แต่ทำไมผมถึงบอกว่าการใบ้หุ้นมันไม่ต่างอะไรกับการ "เดา" ล่ะ ? ในเมื่อหลายคนเดาหุ้นถูกยังกะจับวางก็มีเยอะแยะ



ในหนังสือเล่มล่าสุดที่ผมอ่าน (กลยุทธ์การเก็งกำไร) มีบทนึงที่ผมชอบมากเลยชื่อว่า "อย่าเชื่อหมอดู" โดยผู้เขียนได้ไปสัมภาษณ์นักพยากรณ์ท่านนึงและถามเคล็ดลับว่าทำยังไงถึงจะวิเคราะห์อนาคตได้อย่างถูกต้อง คำตอบของหมอดูคนนั้นก็คือ..