มาทำความเข้าใจเข้าใจกับคำว่าคัทลอสกันก่อน "คัทลอส" ความหมายง่ายที่สุดก็คือการขายหุ้นเมื่อหุ้นที่เราถืออยู่ดัน "ผิดทาง" เช่นสมติ เราซื้อหุ้นบริษัท XXX ที่ราคา 10 บาท และตั้งธงเอาไว้ในใจว่าหากราคาลงไปต่ำกว่า 9 บาทชั้นจะขายนะ หากไม่กี่วันต่อมาหุ้นดันผิดทางจนราคาไหลลงไปเหลือต่ำกว่า 9 บาทจริงๆ เราจะต้องขายแบบไม่มีเงื่อนไข คือยอมตัดนิ้วเพื่อรักษาร่างกายเอาไว้
สำหรับในทางปฏิบัติ นักลงทุนแต่ละคนล้วนยอมรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากันอยู่แล้วครับ บางคนอาจยอมขาดทุนได้ 20% หรือบางคนอาจยอมได้แค่ 5% ซึ่งการคัทลอสแบบนี้แหละที่ในกระทู้นั้นได้อธิบายไว้ว่าเป็นการคัทลอสที่ผิดพลาด เพราะถ้าเราเลือกหุ้นมาเป็นอย่างดีแล้ว ทำไมต้องคัทลอสให้เสียเงินเล่น ?
จะว่าไปถ้ามองแค่มุมนี้มันก็จริงนะ เพราะการคัทลอสโดยตั้งเองเออเองว่าเรายอมรับความเสี่ยงได้เท่านั้นเท่านี้ มันเป็นอะไรที่มั่วพอๆ กับการแทงหวยเลย เราจะรู้ได้ไงว่าหากสมมติเรายอมขาดทุน 10% แล้วหุ้นที่เราซื้อมันจะลงไปไม่ถึง 10% ก่อนจะพุ่งขึ้นต่อ ? มันอาจลงไปสัก 20% แล้วพุ่งไปอีกเป็นเด้งก็ได้ ไม่มีใครรู้
แต่.. ผมใช้คำว่า "แค่มุมนี้" เพราะสำหรับการคัทลอส มันไม่ได้มีวิธี "ตั้งเองเออเอง" แค่วิธีเดียวสักกะหน่อย !
ในการตั้งจุดตัดขาดทุน แบบแรกก็คือที่ผมบอกไปครับว่าตั้งแบบตามใจฉัน (ไม่แน่ว่าอาจเป็นวิธีที่คนใช้มากสุดก็ได้) แต่ความจริงแล้วมันมีอีกวิธีนึงที่คนส่วนใหญ่ "โดยเฉพาะมือใหม่" อาจจะไม่รู้ นั้นคือการคัทลอสโดยใช้สัญญาณทางเทคนิค
หมายความว่ายังไง ? มาดูรูปกันดีกว่าเพื่อความเข้าใจ ในรูปนี้คือหุ้นยอดนิยมอย่าง CPF และเส้นสีแดงที่เห็นนั้นคือเส้น EMA30
วิธีการคัทลอสโดยใช้อินดิเคเตอร์แบบคร่าวๆ เป็นแบบนี้ครับ สมมติว่าราคาหุ้น CPF นั้นอยู่ที่ 33 บาทแบบในภาพ และเราคิดว่ามันจะขึ้นไปต่อได้เพราะมันยืนอยู่เหนือเส้น EMA30 แถมแนวโน้มเป็นขาขึ้นซะอีก ดังนั้นเราจึงเข้าซื้อด้วยความมั่นอกมั่นใจว่ามันต้องขึ้นแน่ๆ
แต่แทนที่เราจะตั้งจุดตัดขาดทุนไว้แบบตามใจฉันเหมือนที่คนอื่นเค้าทำกัน เราก็แค่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยครับ ว่าเราจะขายเมื่อราคาหลุดเส้น EMA30 แทน
เอาล่ะ มาดูภาพของช่วงต่อมาดีกว่าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับหุ้นที่ได้ชื่อว่าเป็นหุ้น "พื้นฐานดี" "แนวโน้มเป็นขาขึ้น" แถมเป็นหุ้น "เจ้าสัว" อีกซะด้วย
ตายละ ! ไหงหุ้นถึงผิดทางซะงั้น ? เราคิดผิดแน่ๆ เลยใช่มั้ยที่เข้าซื้อตรงยอดดอยนู้นเลย ? ใช่ครับเราคิดผิด แต่โชคดีตรงที่เรารีบคัทลอสไปตอนที่มันหลุดเส้น EMA แล้ว (แถวๆ ราคา 30.50 บาท) ก็เลยไม่เจ็บตัวอะไรมาก เพราะตอนนี้ราคามันเหลือแค่ 28.75 แล้วนี่นา !
แต่ถ้าในอนาคตมันขึ้นต่อล่ะ ? แถมในกระทู้นั้นก็บอกไว้อีกว่าหากเราเลือกหุ้นที่กิจการดีพอในราคาที่ไม่แพงไปนัก ยังไงมันก็ต้องกลับขึ้นมาเหมือนเดิมอยู่แล้ว อืม.. เราจะเชื่อใครดีล่ะ ?
แต่ถ้าในอนาคตมันขึ้นต่อล่ะ ? แถมในกระทู้นั้นก็บอกไว้อีกว่าหากเราเลือกหุ้นที่กิจการดีพอในราคาที่ไม่แพงไปนัก ยังไงมันก็ต้องกลับขึ้นมาเหมือนเดิมอยู่แล้ว อืม.. เราจะเชื่อใครดีล่ะ ?
ผมว่าภาพนี้คงจะเป็นคำตอบได้อย่างดีว่าใครคิดถูกคิดผิด ที่ผมจะบอกคืออย่างนี้ครับ ความจริงแล้วการลงทุนแบบ VI หรือเน้นพื้นฐานเป็นหลัก ไม่ได้แปลว่าการที่ราคาหุ้นตกต่ำลงมาจะดีเสมอไป เพราะคำว่าถูกแล้วมันยังมีถูกอีกก็ได้
หรือนักลงทุนสายเทคนิค การที่เราคัทลอสไปไม่ได้แปลว่าเราทำถูก บางครั้งพอเราขายปุ๊ป ราคาอาจดีดใส่เราจนหน้าหงายเลยก็ได้ (ผมขาย TRC ไปตอน 3.98 ราคาตอนนี้ไปดูเองนะครับ T-T) ซึ่งถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นบ่อยๆ เราคงต้องมานั่งคิดแล้วล่ะว่าเครื่องมือหรือระบบเทรดที่เราใช้มันดีจริงรึเปล่า
แล้วเรื่องของการคัทลอส นอกจากเอาไว้ใช้เพื่อขายตัดขาดทุนแล้ว มันเอาไปใช้ทำอะไรได้อีกบ้าง ? มีอีกแน่นอนครับ ประโยชน์ของการคัทลอสนอกเหนือจากการเอไว้รักษาเงินของพอร์ต คือการเอาไว้ "ล๊อก" ผลกำไรหากราคาหุ้นมาถูกทางได้อีกด้วย
ที่เห็นในภาพนี้คือหุ้นของ TLUXE กับเส้น EMA10 การขายหุ้นเพื่อล๊อกผลกำไรก็ใช้หลักการเดียวกับการคัทลอสครับ อย่างในกรณีนี้ผมใช้เส้นค่าเฉลี่ยในการคัทลอส ผมก็แค่ขายเมื่อหลุดเส้น EMA10 แค่นั้นเอง ! (ขายแถวๆ 11 บาท) แม้ตอนขายออกแล้วราคาจะไปต่อ แต่สุดท้ายมันก็ร่วงกลับมาจนได้ เราเรียกการเลื่อนจุดคัทลอสตามราคาหุ้นไปเรื่อยๆ แบบนี้ว่า Initial Stop
แล้วเรื่องที่ในกระทู้นั้นบอกว่ามาร์เก็ตติ้งเป็นพวกเจ้าเล่ห์ที่เอาแต่เชียร์หุ้นให้เราล่ะ ? เอาจริงๆ นะครับ คนไม่ดีมันก็มีทุกวงการนั่นแหละ (แม้กระทั่งพระ) มาร์เก็ตติ้งดีๆ ก็มี อย่างเช่น CEO ของ Apple Wealth ที่เมื่อสมัยปี 2538 เค้าเป็นมาร์เก็ตติ้งอยู่โบรคแห่งนึง ในช่วงนั้นเกิดน้ำท่วมใหญ่ที่จังหวัดสงขลาครับ เค้าทุ่มทุนถึงขนาดที่ว่ายอมว่ายน้ำไปบริษัทเพื่อส่งคำสั่งขายให้ลูกค้าด้วยซ้ำ !
สำหรับอีกประเด็นนึงที่ผมฟังแล้วค่อนข้างตะขิดตะขวงใจพอสมควร นั่นคือความเห็นของเจ้าของกระทู้ที่บอกว่า "การลงทุนระยะยาวนั้นดีที่สุด" ทำไมผมถึงรู้สึกแบบนั้น ? ก็เหมือนกับบทความก่อนหน้าที่ผมเคยเขียนเอาไว้ครับ ในโลกนี้ไม่มีการลงทุนที่ดีที่สุดหรอก มีแต่การลงทุนที่เหมาะกับเราเท่านั้น
ถ้าเราเอาแต่เชื่อคนนู้นคนนี้ และเอามาใช้แบบไม่ลืมหูลืมตา (เหมือนที่ผมเคยเป็นมาก่อน) เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้ยังไงกันล่ะ !
(อืม ผมเขียนออกนอกหัวข้อไปซะเยอะเลยแฮะ :P)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น