25 มีนาคม 2558

ปิดหน้าจอเยียวยาทุกสิ่ง

สมมติเราซื้อหุ้นตัวนึงแล้วมันลง เราจะทำยังไงเพื่อไม่ให้ใจของเราวอกแวกดีครับ ? ถ้าหากใจเรามันหวั่นไหวเพราะราคาหุ้น ผมเชื่อว่าวิธียอดนิยมที่คนส่วนใหญ่ใช้ ก็คงหนีไม่พ้นการ "ปิดจอ"


ผมเองก็เห็นว่ามันเป็นวิธีที่ดีเหมือนกันนะ เพราะสำหรับคนที่ลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน (หรือวิธีใดก็ตามที่ต้องใช้เวลาในการถือหุ้น) การเลือกที่จะไม่รับรู้ราคาหุ้นสามารถทำให้เราไร้อารมณ์ได้อย่างน่าประหลาดและไม่เครียดด้วย เพราะเราไม่ต้องเจอความผันผวนมากดดัน

ใช่ มันไม่เครียดก็จริง แต่มันจะไม่มีกำไรด้วยน่ะสิ !

ตอนที่ผมใช้ปัจจัยพื้นฐานแบบเพียวๆ ในการเลือกหุ้น ผมเองก็ปิดจอเหมือนกันนะ โธ่ จะไม่ให้ปิดจอได้ไง หุ้นที่ผมซื้อไปตอน 9.90 มันราคาไหลลงไปเรื่อยๆ จน 9 บาทแล้วนี่นา ปิดจอดีกว่าจะได้ไม่เครียด (อันที่จริงมันลงไปต่ำสุด 7 บาท)

แล้วการปิดจอก็ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจ คือผมเผอิญเปิดดูราคาหุ้นตอนที่มันเหลือ 7 บาท ! ถัวซื้ออย่างเมามันเลยตอนนั้น และสุดท้ายผ่านไปสักปีนึงก็กลับมามีกำไรจนได้...

เดี๋ยวๆ แต่ปัญหามันอยู่ตรงนี้ล่ะครับ คือผมปิดจอนานไปและไม่หาหุ้นตัวอื่นที่ดีกว่าเลย และยังใช้เวลาตั้งปีนึงกว่าจะกลับมามีกำไรได้ นี่คือจุดพลาดอันยิ่งใหญ่ของผมในตอนนั้น


ผมเคยอ่านเจอประโยคนึงที่คนเขียนได้อธิบายเรื่องของการปิดจอไว้ได้น่าสนใจมากนะ เค้าบอกว่าการปิดจอมันไม่ต่างอะไรกับนกกระจอกเทศเลย พอมันเจอปัญหาทีไร (เช่นเจอสิงโตกำลังหาเหยื่อ) ก็มักจะเอาหัวมุดดินเสมอ 

ทั้งที่ในความเป็นจริง การที่นกกระจอกเทศเอาหัวมุดดินเพื่อไม่ให้เห็นอันตราย ไม่ได้แปลว่าสิงโตจะเห็นว่า "โอ๊ะ นกกระจอกเทศตัวนี้ทำเป็นไม่เห็นเรา เราคงกินไม่ได้หรอก" สักกะหน่อย ผมว่าสิงโตคงวิ่งเข้ามาขย้ำอย่างว่องไวด้วยซ้ำ

การปิดจอก็เหมือนกันครับ หากเราไม่ได้ลงทุนเพื่อหวังปันผลเป็นหลัก การที่เราปิดจอไม่ได้แปลว่าหุ้นตัวที่เราถือมันจะไม่ลง มันแค่เป็นการหนีปัญหาเท่านั้นเอง อย่างน้อยๆ ก็ตรวจดูราคาหุ้นสักเดือนละครั้งก็ยังดี เพราะถ้าไม่ใช่คนที่ลงทุนเพื่อหวังปันผลเป็นหลัก ยังไงเราก็หวังกำไรจากส่วนต่างราคานั่นแหละ

แต่ที่แน่ๆ การปิดจอไม่ได้ทำให้หุ้นขึ้นนะ !

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น