30 สิงหาคม 2558

เมื่อราคาหุ้นกระทำชำเราจิตใจมากเกินไป

ราคาหุ้น ทำไมเจ้าสิ่งนี้ถึงร้ายกาจขนาดที่ว่ามันสามารถกระทำชำเราจิตใจของนักลงทุนได้ล่ะ ทั้งๆ ที่มันเป็นเพียงตัวเลขที่ถูกใครบางคนกำหนดขึ้นมาในแต่ละวินาที มันไม่มีตัวตนด้วยซ้ำ แต่อานุภาพขอบมันเทียบเท่ากับความรักที่ทำให้ใครหลายคนเสียใจมากนักต่อนักแล้ว

ผมเชื่อว่านักลงทุนที่อยู่ในตลาดมามากกว่า 1 เดือน ต้องเคยผ่านเหตุการณ์ที่เรียกว่า "ซื้อแล้วขึ้น" กันมาทุกคน สมมติซื้อหุ้นตัวนึงที่ราคา 0.45 บาท พอวันต่อมาราคาทำ Ceiling วิ่งไปถึง 0.59 บาท มันน่าดีใจขนาดไหน ผลตอบแทน 25% ภายในวันเดียว

นั่นแหละที่ผมเรียกมันว่าการกระทำชำเราทางจิตใจ


สำหรับตัวหุ้นอย่างทีี่ผมยกมาเมื่อครู่มีชื่อว่า AQ แน่นอนว่าคนที่ซื้อหุ้นในตอนนั้นก็คือผมนั่นเอง แรกๆ มันก็ดีใจอยู่หรอกครับ แต่หลังจากนั้นเป็นต้นมา ราคาหุ้นก็ไม่เคยวิ่งไปถึง 0.59 บาทอีกเลย.. อย่างน้อยก็ในตอนนี้น่ะนะ

23 สิงหาคม 2558

เทรดเดอร์มีประโยชน์อะไรในระบบเศรษฐกิจ

สองสามวันก่อน เพื่อนๆ ผมที่เรียนอยู่ปีสองด้วยกัน ได้มีโอกาสไปคุยกับอาจารย์ท่านนึงเพื่อติดต่อเรื่องการเรียน ซึ่งเพื่อนทั้งสองคนนี้เป็นเทรดเดอร์ที่เทรดทั้งหุ้นและ Forex ครับ (ตลาดค่าเงิน) และอาจารย์ก็รู้เรื่องนี้ รวมถึงรู้ด้วยว่านักศึกษาคนอื่นในคณะเริ่มหันมาลงทุนกันมากขึ้น จึงได้บอกกับเพื่อนผมว่า "ถ้าจบไปอย่าเอาแต่เล่นหุ้นอย่างเดียวนะ !"



ในมุมมองของอาจารย์ท่านนี้มองว่า หากในสังคมเรามีแต่คนเล่นหุ้นมากไปจนไม่เป็นการทำงานเลย อาจส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจได้ ซึ่งเหตุผลข้อนี้คือเรื่องจริงครับ อย่าลืมว่าหุ้นทุกตัวมีบริษัทและเศรษฐกิจอยู่เบื้องหลัง หากคนกว่า 30 ล้านคนลาออกจากงานมานั่งเทรดอย่างเดียว หุ้นจะขึ้นได้ยังไงหากไร้พื้นฐานมารองรับ

แต่จะว่าไปแล้วก็น่าคิด ถ้าอย่างนั้นเทรดเดอร์หรือนักลงทุน ที่เอาเงินไปซื้อหุ้นของบริษัทนึงแล้วถือเอาไว้ หรือไม่ก็ซื้อๆ ขายๆ คนกลุ่มนี้จะมีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจสักแค่ไหน เพราะไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง บริษัทต่างๆ ก็ยังคงผลิตสินค้าและบริการอยู่ไม่ใช่เหรอ

หรือแท้จริงแล้วนักลงทุนจะเป็นเป็นเพียงแค่นักเวทย์ที่เสกเงินให้โตขึ้นเพียงเท่านั้น ?

สำหรับคำว่าการลงทุนนั้น หากว่ากันตามจริงเราสามารถแบ่งได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ นั่นคือการลงทุนทางตรง และการลงทุนทางอ้อม โดยประเภทแรกนั้นจะเป็นการลงทุนในภาคเศรษฐกิจจริง เช่น สร้างโรงงานผลิตถุงยาง หรือโรงงานขายไอติม และผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนทางตรงนั้นจะสามารถทำให้เศรษฐกิจเฟื่องฟูได้โดยตรง สินค้ามากขึ้น การผลิตมากขึ้น การจ้างงานเพิ่มขึ้น เงินสะพัดเพิ่มขึ้น

แต่ในส่วนของการลงทุนทางอ้อม จะเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ทางการเงินเป็นหลัก แน่นอนว่าหุ้นคือทางเลือกยอดนิยม โดยผลตอบแทนสำหรับหุ้นนั้นจะมีอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือกำไรจากเงินปันผล และอย่างที่สองคือกำไรจากส่วนต่างราคา ซึ่งทั้งสองแบบนี้จะต่างกับผลตอบแทนที่ได้จากการลงทุนทางตรง เพราะมันไม่ได้ก่อให้เกิดผลิตผลแก่เศรษฐกิจจริงเลย เป็นเพียงแค่ตัวเลขเงินในกระเป๋าที่เพิ่มขึ้นมา

แล้วถ้าอย่างนั้นนักลงทุนจะมีประโยชน์อะไรต่อเศรษฐกิจล่ะ ? มีสิครับ ลองนึกสิว่าถ้าไม่มีคนเทรดหุ้นเลยจะเกิดอะไรขึ้น



ทำไมบริษัทต้องจดทะเบียนเข้าตลาด ? ก็เพื่อระดมเงินเพิ่ม คำถามคือถ้าหากตลาดหลักทรัพย์ไม่มีนักลงทุนเลย แล้วจะระดมทุนยังไงล่ะ หรือถ้าหากในตลาดมีแต่คนที่ซื้อแล้วถือลืม ราคาหุ้นมันจะขึ้นได้ยังไง (เพราะไม่มีคนขาย) รวมถึงสภาพคล่องที่น้อยขนาดนั้น ก็จะทำให้มีคนลงทุนในตลาดหุ้นน้อยกว่าเดิมอีก เพราะซื้อหุ้นแล้วก็ขายไม่ได้

เมื่อตลาดขาดผู้เล่น ก็ไม่มีบริษัทไหนสนใจจดทะเบียนเพื่อขยายกิจการ และเมื่อไม่มีการขยายกิจการ เศรษฐกิจที่แท้จริงมันก็ยากที่จะโตแบบทุกวันนี้ได้ เห็นประโยชน์แล้วรึยังครับ ?

นักลงทุนมีประโยชน์กว่าที่เราคิด.. แม้จะเป็นคนที่ติดดอยอยู่ก็ตาม :P

17 สิงหาคม 2558

เมื่อ Volume เชื่อถือไม่ได้เสมอไป

หลายคนที่ร่ำเรียนศาสตร์แห่งเทคนิคอล อาจเคยได้ยินกันมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องของ "วอลุ่ม" ว่ามันเป็นสัญญาณทางเทคนิคที่มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด ยกตัวอย่างเช่น วันไหนก็ตามที่หุ้นมีราคาขึ้นแรง (แท่งเทียนเขียวยาว) พร้อมกับวอลุ่มที่สูง มันมีความเป็นไปได้ว่าราคาหุ้นจะไปต่อ แต่ถ้าราคาหุ้นสูงขึ้นแล้วดันไม่มีวอลุ่มมากพอ นั่นก็อาจเป็น "สัญญาณหลอก" และเป็นไปได้สูงมากๆ ที่ไม่ช้าก็เร็วมันจะต้องลง

นั่นฟังดูมีเหตุผลครับ หากเราคิดด้วยตรรกะง่ายๆ การที่หุ้นขึ้นแรงและมีโอกาสไปต่อ มันก็ควรที่จะมีแรงเงินมหาศาลเพื่อเป็นแรงส่งด้วย ซึ่งนั่นหมายถึงคนส่วนใหญ่พร้อมใจกันผลักดันหุ้นตัวนั้น แต่นั่นแหละคือคำถามครับ แล้วถ้าคนส่วนใหญ่ที่ว่านั้น "คิดผิด" ล่ะ ?

ในมุมมองของผม การที่หุ้นสักตัวหนึ่งจะสามารถเป็นขาขึ้นได้ อย่างแรกที่จำเป็นต้องมีเลยก็คือ 1. ความเชื่อว่ามันจะไปต่อ และ 2. เหตุผลที่รองรับความเชื่อนั้น หากเราลงทุนโดยพิจารณาจาก Volume เพียงอย่างเดียว เราก็เพียงแค่มีความเชื่ออย่างแรงกล้า แต่ไม่ได้มีเหตุผลใดมารองรับอารมณ์ของเราเลย


อย่างในกรณีของหุ้นตัวนี้ที่ชื่อว่า TSF ผมเข้าซื้อที่ราคา 0.40 บาท ด้วยปัจจัยง่ายๆ ก็คือวอลุ่มที่สูงมาก (6,000 ล้านหุ้น) และราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้นสูงเช่นกัน แถมกราฟทำทรงสวยซะด้วยนะ 

15 สิงหาคม 2558

สแกนหุ้นด้วยงบไตรมาส 2/58

แปปๆ เดียวเวลาก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว (ไวอย่างกับโกหก) ผมเชื่อว่าครึ่งปีที่ผ่านมา นักลงทุนหลายๆ คนคงสมบุกสมบันในตลาดมาไม่น้อยเลย ก็อย่างว่าครับ บ้านเราตอนนี้มีแต่อะไรมากระทบมากมาย เรียกได้ว่าคนที่ผลตอบแทน "เสมอตัว" ในปีนี้ก็เก่งแล้ว

เมื่อวานนี้งบการเงินของทุกบริษัทก็เพิ่งออกพอดี ผมเลยทำการสแกนหุ้นด้วยเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อ ดังนี้ครับ

1. หุ้นที่มีกำไรสุทธิในไตรมาสนี้ สูงกว่าไตรมาสที่แล้ว (QoQ)

6 สิงหาคม 2558

Lucky Investor

กฎ 80 : 20 ที่อธิบายไว้อย่างน่าสยองขวัญเกี่ยวกับความจริงของตลาดหุ้น ว่าในนักลงทุนจำนวน 100 คนนั้น จะมี 80 คนที่รุ่งริ่ง และ 20 คนเท่านั้นที่รุ่งเรือง แน่นอนครับเราทุกคนรู้จักกฎนี้ ว่าแต่มีคนคิดบ้างรึเปล่าว่าทำไมถึงมีนักลงทุนแค่ 20% เท่านั้นที่อยู่รอดในตลาด ? 

การที่จะตอบคำถามนี้ได้เราคงต้องมาวิเคราะห์กันก่อนว่า อะไร คือองค์ประกอบที่ทำให้นักลงทุนคนนึงสามารถประสบความสำเร็จได้ ที่ผมนึกออกนะครับ อย่างแรกคือความรู้ นี่ล่ะคือสิ่งที่ต้องมีแน่ๆ ส่วนอย่างที่สองก็คือประสบการณ์ และอย่างที่สามก็คงหนีไม่พ้น Mind Set เป็นแน่แท้ 


แต่ถ้าเรามองสามข้อนี้มันก็ยังน่าสงสัยอยู่ดีนั่นแหละ ผมเชื่อนะว่า 20% ที่อยู่รอดในตลาดมีคุณสมบัติครบทั้งหมด แต่เพราะอะไรล่ะ ทำไมถึงมีเพียง 5% เท่านั้นที่สามารถกลายเป็น "ดร.นิเวศน์" คนต่อไป

ใช่ครับ ผมว่าเราลืมเรื่องของ "โชค" ไปซะสนิท และมันเป็นส่วนสำคัญมากๆ ซะด้วยสิ

3 สิงหาคม 2558

สอนสแกนหุ้นด้วย Efinance Thai แบบ "ละเอียด"

หลังจากที่ผมอู้เขียนบทความไปนานแสนนาน ก็ได้ฤกษ์แล้วที่จะกลับมาเขียนอีกครั้ง :P เข้าเรื่องเลยดีกว่า หลายๆ คนที่เทรดหุ้นอยู่ย่อมรู้จักกับโปรแกรมหุ้นชื่อดังอย่าง Efinance Thai อย่างแน่นอน 

แต่นอกจากโปรแกรมนี้จะสามารถดูกราฟได้อย่างไร้ขีดจำกัดแล้ว มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นครับที่รู้ว่ายังสามารถสแกนหุ้นได้แบบชนิดที่ว่าเรา "อ้าปากค้าง" ได้เลย ! (จริงๆ นะ มันทำผมอ้าปากค้างมาแล้ว)

แต่ก่อนที่ผมจะอธิบายวิธีการสแกนหุ้น จะขอแนะนำนิดนึงสำหรับคนที่ไม่เคยใช้โปรแกรม Efinance Thai นะครับ ในการใช้งานโปรแกรมนี้ ขั้นตอนแรกที่เราต้องทำก็คือ

1. Login เข้าไปในเว็บไซต์ของโบรคเกอร์ที่เราเปิด จากนั้นหาคำว่า Efinance Thai (โบรคเกอร์แต่ละที่จะวางตำแหน่งบนหน้าเว็บไม่เหมือนกัน) เมื่อคลิกแล้วจะขึ้นหน้าตาดังรูปนี้ครับ




เมื่อเข้ามาแล้วให้คลิกคำว่า efin StockPickup ที่ผมวงเอาไว้ได้เลย เมื่อคลิกแล้วก็จะขึ้นหน้าตาแบบนี้