หลังจากที่การประมูล 4G เป็นที่เสร็จสิ้นกันไป หลายๆ คนต่างก็วิเคราะห์ว่าในอนาคตนั้นผู้เล่นทั้งสี่รายอันได้แก่ AIS, DTAC, TRUE และน้องใหม่อย่าง JAS จะเป็นอย่างไรต่อในอนาคต
แต่ถ้ามองสั้นๆ อย่างวันจันทร์นี้ล่ะ ! เจ้าเงิน 1.5 แสนล้านเจ้าปัญหานี้จะส่งผลกระทบยังไงต่อหุ้นสื่อสารแต่ละตัวบ้าง
อย่ามัวเสียเวลา เริ่มที่พี่ใหญ่อย่าง ADVANC กันก่อน อย่างที่เรารู้ว่าการประมูลครั้งนี้มันเข็มขัดสั้นมาก (คาดไม่ถึง) เพราะผู้ชนะคือ TRUE และ JAS ในขณะที่ ADVANC ซึ่งเป็นค่ายมือถือที่ใหญ่สุดและหน้าตักหนามาก กลับเลือกที่จะยอมแพ้ และให้เหตุผลแบบเก๋ๆ ว่า"มันแพงเกินไปจนไม่มีความคุ้มค่า"
19 ธันวาคม 2558
14 ธันวาคม 2558
ในวันที่ ICHI ต่ำกว่าราคาจอง
ยังจำหุ้น ICHI กันได้อยู่รึเปล่าครับ ? ผมว่าทุกๆ คนต้องรู้จักหุ้นตัวนี้อย่างแน่นอน นอกจากความมีชื่อเสียงของผู้บริหารอย่าง “ตัน ภาสกรนที” ที่เป็นเหมือน Brand Ambassador ของบริษัทตัวเองแล้ว การจองซื้อหุ้นตัวนี้ตอนที่ IPO อยู่ ก็เป็นวิธีการที่น่าจดจำไม่น้อย ด้วยการให้ใครก็ได้ที่มีฝาอิชิตัน เข้าไปต่อแถวรอซื้อหุ้นหน้าตลาดหลักทรัพย์ แถมมีแจกแมคฟิชให้กินคนละชิ้นด้วยนะ
วันแรกที่หุ้น ICHI เข้าตลาดนั้นตรงกับวันที่ 21 เมษายน ปี 2557 ราคาจองหุ้นอยู่ที่ 13 บาท แม้ในวันแรกราคาหุ้นจะไม่ได้ขึ้นแรงเท่าไหร่นัก (ปิดที่ 16 บาทนิดๆ ถือว่าบวกไม่มากเมื่อเทียบกับ IPO ตัวอื่น) แต่ก็ถือว่าเป็น IPO ที่ Strong มากนะครับ เพราะราคาก็วิ่งไป 27 บาทในอีก 3 เดือนให้หลังเท่านั้นเอง ในขณะที่ IPO ส่วนใหญ่ราคามักเป็นขาลงซะมากกว่า
แต่จากราคาหุ้นล่าสุด หลังจากผ่านมาเกือบสองปี กลายเป็นว่าหุ้น ICHI มีราคาที่ต่ำกว่าราคาจองซะแล้ว
13 ธันวาคม 2558
อะไรเอ่ยที่เจ๋งกว่าการเล่นหุ้น
“มีเงินแต่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี?”
“มีเงินอยากลงทุน ก็กลัวความเสี่ยง กลัวไม่คุ้มค่า”
“อยากให้เงินเก็บของเราเพิ่มขึ้นจัง ทำไงดีนะ”
ข้อสงสัยข้างต้นจะหมดไปหากเรารู้วิธีการจัดการมูลค่าของเงินตามกาลเวลาครับ สมมุติว่าเรามีเงินจำนวนหนึ่ง แล้วเราสามารถเก็บเงินก้อนนี้ได้ โดยไม่เอาไปใช้จ่ายอะไรเลย ตามระยะเวลาต่างๆ เช่น 2 ปี 5 ปี 10 ปี ลองมาดูคำแนะนำเหล่านี้ดีกว่า ว่าเราจะบริหารเงินก่อนนี้อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด มาติดตามกันเลยครับ !
แนวคิดแรก “ซื้อสิ่งที่เป็น Asset”
สิ่งที่เป็น Asset หรือสินทรัพย์ ก็คือสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเงื่อนไขที่ว่า สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว
แล้ว Asset เหล่านั้นคืออะไร ? ลองพิจารณาสิ่งที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และชนะเงินเฟ้อได้ ก็ได้แก่ ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ทำเลดีๆ ที่ไม่สามารถก๊อปปี้ได้ หุ้นของบางกิจการ ของสะสมที่มีคุณค่า (เหรียญ พระเครื่อง ฯลฯ) หรือแม้แต่หุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินเฟ้อ พันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว สิ่งเหล่านี้ล้วนเข้าเกณฑ์มากน้อยต่างกันไป
10 ธันวาคม 2558
วิเคราะห์ SET Index จะอยู่หรือจะไปกันแน่นะ
ใกล้จะหมดปี 2558 ไปอีกหนึ่งปีแล้ว แต่ดัชนีในอีกเดือนนึงที่เหลือต้องยอมรับว่าไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างจริงๆ จังๆ สักเท่าไหร่เลย เพราะนับตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นมา ตลาดบ้านเราเป็นอะไรที่ไว้ใจไม่ได้อย่างรุนแรงครับ ตอนแรกลงๆๆๆ แล้วกลับมาขึ้นใหม่ จนหลายๆ คนเชื่อว่านั่นคือการฟื้นตัวแล้ว
แต่ตลาดกลับลงต่ออย่างหน้าตาเฉย ทำลายทุกแนวรับอย่างที่เค้าว่าไว้จริงๆ
สำหรับผมเอง ช่วงต้นปี 2558 นั้นยังยิ้มได้เพราะยังมีกำไรอยู่พอสมควร แต่นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม เทศกาลคืนกำไรของผมก็ทำให้กำไรหายจนเกลี้ยงแทบจะเท่าทุนเลยทีเดียว สาเหตุก็เพราะผมเล่นฝืนตลาดมากเกินไปนั่นเอง ตลาดเป็นขาลง กลับเข้าซื้อหุ้นและหวังให้มันขึ้นไปเยอะๆ จะบ้าตาย
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน ประเด็นสำคัญคือช่วงเวลาต่อจากนี้ไป SET Index มีโอกาสไปทางไหนมากกว่ากัน ?
เรามาดูรูปแรกกันก่อน ด้วยการตีแนวรับแบบง่ายๆ ในไทม์เฟรม Day นะครับ
รูปนี้อาจถูกอกถูกใจนักลงทุนเป็นพิเศษ (รวมถึงผมด้วยเช่นกัน) เราจะเห็นว่าแนวรับมันก็อยู่แถวๆ Low เดิมของเมื่อเดือนสิงหาคมนั่นแหละครับ อยู่ที่ประมาณ 1,292 จุด นั้นแปลว่าอีกนิดเดียวดัชนีก็มีสิทธิ์ที่จะ Rebound และเป็นขาขึ้นต่อแล้ว แต่ขึ้นเท่าไหร่นั่นอีกเรื่องนึงนะ
แต่ถ้าเราขยายภาพให้ใหญ่หน่อย โดยใช้กราฟ Month ล่ะ !
7 ธันวาคม 2558
การเข้าซื้อหุ้นที่ลงกว่า 50% จะทำให้คุณขาดทุนได้ยังไง
ก่อนจะตอบคำถามนี้ได้ เราต้องมาดูกันก่อนว่าเมื่อหุ้นลงนั้นมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง อย่างแรกเลย คนที่ซื้อทีหลังจะได้ราคาดีกว่า และสอง หากกำไรของกิจการไม่เปลี่ยนแปลง ราคาหุ้นที่ต่ำลงจะทำให้ค่า PE ต่ำลงด้วยเช่นกัน เสมือนว่าเรากำลังซื้อของดีราคาถูกก็ไม่ปาน
งั้นก็แปลว่ามันคือราคาที่ดีและปลอดภัยอย่างนั้นน่ะสิ ! ก็ไม่เสมอไปครับ ต่อให้หุ้นลงมากว่า 50% มันก็ยังลงต่อจนกัดกินนักลงทุนให้เหลือแต่กระดูกได้
ตัวอย่างที่ง่ายที่สุดมาจากหุ้นสองตัวครับ ตัวแรก อดีตพระเอกขวัญใจนักลงทุนตลอดกาล BANPU ยักษ์ใหญ่แห่งวงการถ่านหิน ผมยังจำได้ไม่ลืมว่าเมื่อราวๆ ปี 2008 (ช่วงนั้นผมอยู่ม.ต้นอยู่เลย) ราคาหุ้นตัวนี้อยู่ที่ประมาณ 150 บาท แต่ผ่านไปไม่นานนัก ราคามันก็วิ่งไปถึง 800 พร้อมๆ กับนักวิเคราะห์จำนวนมากต่างก็เชื่อว่ามันจะทะลุ 1,000 บาทอย่างแน่นอน
ปรากฎว่าช่วงนั้น BANPU เจอเรื่องคดีโรงไฟฟ้าที่พม่า ทำให้โดนค่าปรับไปหลายหมื่นล้านบาท แถมซวยซ้ำซ้อนเมื่อราคาถ่านหินโลกปรับตัวเป็นขาลง ท้ายที่สุดแล้วหุ้น BANPU ร่วงลงมาจนเหลือ 200 กว่าบาท
5 ธันวาคม 2558
น่าเก็บรึยังสำหรับหุ้น CPALL
เมื่อสองสามวันก่อน มีประเด็นที่น่าสนใจเกี่ยวกับผู้บริหารของเซเว่นท่านนึงที่ซื้อหุ้นของ MAKRO เอาไว้ ก่อนที่เซเว่นจะเข้าไปเทคโอเวอร์กิจการ หากยังจำกันได้ ในตอนนั้น CPALL เข้าซื้อแมคโครที่ราคา 787 บาทต่อหุ้น นับเป็นดีลที่มีมูลค่ามหาศาลที่สุดเลยก็ว่าได้
แต่ขึ้นชื่อว่าการเทคโอเวอร์ แน่นอนว่าก่อนหน้านั้นราคาหุ้นจะต้องถูกไล่ซื้ออย่างหนัก หากยังจำกันได้ ในวันที่มีข่าวประกาศออกมาว่าเซเว่นจะเข้าซื้อกิจการ ราคาหุ้น MAKRO กระโดดจากประมาณ 690 บาท มาอยู่ที่ราว 750 บาททันที นั่นเพราะว่านักลงทุนทุกคนต่างก็รู้ว่านี่คือมูลค่าที่เหมาะสมสำหรับมัน
ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า คนที่ซื้อหุ้นก่อนข่าวจะออกแล้วถือไว้ จะต้องเป็นคนที่เก่งมากๆ หรืออีกกรณีนึงก็คือ ต้องเป็นคนที่ Insider มากจนรู้เรื่องราวทุกอย่างในบริษัท.. เหตุผลข้อนี้เองครับที่เป็นประเด็น เพราะผู้บริหารที่ได้กล่าวมานั้นเข้าซื้อ MAKRO เป็นแสนหุ้น โดยใช้ข้อมูลวงในที่ยังไม่ได้เปิดเผย !
และแน่นอน เมื่อมีข่าวออกมาเช่นนี้ ราคาหุ้น CPALL จึงถูกเทขายอย่างหนักในเวลาแค่ชั่วข้ามคืน แถมยังทำให้หุ้นตัวอื่นในตลาดพากันตกตามไปด้วย เพราะเซเว่นนั้นเป็นหุ้นที่มีมูลค่าตลาดกว่า 4 แสนล้านบาท การที่หุ้นยักษ์ใหญ่ขนาดนี้ลงมาเกือบ 10% ได้ มันย่อมมี Impact ต่อตลาดเป็นธรรมดา
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญ หุ้นเซเว่นลงมาหนักขนาดนี้ มันลงมากไปรึเปล่าล่ะ ? แล้วถึงเวลาที่จะเข้าเก็บของดีราคาถูกกันได้รึยัง ?
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)