ใกล้จะหมดปี 2558 ไปอีกหนึ่งปีแล้ว แต่ดัชนีในอีกเดือนนึงที่เหลือต้องยอมรับว่าไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้อย่างจริงๆ จังๆ สักเท่าไหร่เลย เพราะนับตั้งแต่ครึ่งปีหลังเป็นต้นมา ตลาดบ้านเราเป็นอะไรที่ไว้ใจไม่ได้อย่างรุนแรงครับ ตอนแรกลงๆๆๆ แล้วกลับมาขึ้นใหม่ จนหลายๆ คนเชื่อว่านั่นคือการฟื้นตัวแล้ว
แต่ตลาดกลับลงต่ออย่างหน้าตาเฉย ทำลายทุกแนวรับอย่างที่เค้าว่าไว้จริงๆ
สำหรับผมเอง ช่วงต้นปี 2558 นั้นยังยิ้มได้เพราะยังมีกำไรอยู่พอสมควร แต่นับตั้งแต่เดือนสิงหาคม เทศกาลคืนกำไรของผมก็ทำให้กำไรหายจนเกลี้ยงแทบจะเท่าทุนเลยทีเดียว สาเหตุก็เพราะผมเล่นฝืนตลาดมากเกินไปนั่นเอง ตลาดเป็นขาลง กลับเข้าซื้อหุ้นและหวังให้มันขึ้นไปเยอะๆ จะบ้าตาย
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน ประเด็นสำคัญคือช่วงเวลาต่อจากนี้ไป SET Index มีโอกาสไปทางไหนมากกว่ากัน ?
เรามาดูรูปแรกกันก่อน ด้วยการตีแนวรับแบบง่ายๆ ในไทม์เฟรม Day นะครับ
รูปนี้อาจถูกอกถูกใจนักลงทุนเป็นพิเศษ (รวมถึงผมด้วยเช่นกัน) เราจะเห็นว่าแนวรับมันก็อยู่แถวๆ Low เดิมของเมื่อเดือนสิงหาคมนั่นแหละครับ อยู่ที่ประมาณ 1,292 จุด นั้นแปลว่าอีกนิดเดียวดัชนีก็มีสิทธิ์ที่จะ Rebound และเป็นขาขึ้นต่อแล้ว แต่ขึ้นเท่าไหร่นั่นอีกเรื่องนึงนะ
แม้จะมีเส้นสีฟ้าๆ เป็นแนวรับอยู่บ้างก็ตาม แต่ถ้าขยายให้เป็นภาพในระดับ Month เห็นเส้นสีชมพูนั่นรึเปล่าครับ นั่นเป็นแนวรับที่อภิมหายิ่งใหญ่เลย และดัชนีก็เคยลงมา Test ที่เส้นแนวรับนี้ถึงสามครั้งด้วยกัน ก่อนที่จะหลุดเส้นชมพูในช่วงกลางปี 58 นี้เอง
แต่ด้วยเส้นแนวรับเพียงเส้นเดียว มันอาจบอกอะไรไม่ได้นักว่านี่คือการลงจริงหรือลงหลอก เพราะหลายๆ ครั้งที่หุ้นหลุดแนวรับ มันก็ยังสามารถกลับขึ้นมาใหม่ได้ (แม้จะต้องใช้เวลาไปบ้างก็ตาม)
ด้วยเหตุนี้ ผมจึงเพิ่ม Indicator เพื่อใช้ดูประกอบอีกตัวนึง นั่นคือ DMI (Directional Movement Index)
สำหรับท่านที่อาจจะยังไม่ทราบ อินดิเคเตอร์ตัวนี้คร่าวๆ คือไว้บอกกำลังของเทรนด์ครับ ว่ามันจะขึ้นแรงหรือลงแรงแค่ไหน โดยเจ้า DMI นี้เนี่ยจะประกอบไปด้วยเส้นสามเส้น ได้แก่ DI+, DI- และ ADX
เส้น DI+ กับ DI- จะไว้บอกทิศทาง หากเส้น DI+ อยู่เหนือเส้น DI- นั่นคือยังมีเทรนด์ขาขึ้น แต่ถ้า DI- ตัดขึ้นมาเหนือ DI+ อาจหมายถึงหุ้นอยู่ในภาวะขาลง
ส่วนเส้น ADX จะไว้บอกกำลังเป็นหลัก วิธีการดูอย่างง่ายที่สุดก็คือ หากเส้น ADX มีค่าเกิน 20-25 แปลว่าเทรนด์นั้นมีกำลังที่จะไปต่อ ถ้าขึ้น ก็ขึ้นต่อ ถ้าลง ก็ลงต่อเช่นกัน แต่ถ้ามีค่าต่ำกว่า 20 ลงไป แปลว่าไม่มีกำลังที่จะไปต่อสักเท่าไหร่นัก
และรูปร่างหน้าตาของเจ้า DMI ก็จะประมาณนี้
เส้นสีเขียว แทน DI+, เส้นสีแดง แทน DI- และเส้น ADX แทนเส้นสีฟ้า
หุ้นที่ผมยกขึ้นมานี้คือหุ้นที่ชื่อว่า NINE ครับ ท่านผู้อ่านจะเห็นว่าช่วงแรกนั้น เส้น DI+ และ DI- พันกันมั่วไปหมด แถม ADX ยังต่ำซะอีก ราคาหุ้นจึงค่อนข้างที่จะออกข้างพอสมควร ไม่ค่อยมีเทรนด์เท่าไหร่
แต่พอช่วงตรงกลาง DI+ เริ่มตัดมายืนเหนือ DI- ได้และค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (การที่ DI+ มีค่าเพิ่มขึ้นได้ จะมาจากราคาหุ้นที่ทำ New High) พร้อมกับ ADX ที่ค่อยๆ ทะยานขึ้นเช่นกัน และราคาหุ้นก็วิ่งสูงขึ้น
ช่วงท้ายสุด ADX เริ่มอ่อนตัวลง และ DI- ตัดขึ้นมาอยู่เหนือ DI+ ราคาหุ้นก็ลดลงอย่างที่เห็นครับ และคอนเฟิร์มขาลงด้วยการที่ราคาหลุดเส้น EMA15 (เส้นสีดำ) อีกด้วย
กลับมาที่ SET Index ของเรากันต่อ
อย่าลืมว่าภาพที่เห็นนี้คือ Time Frame Month นะครับ จำได้รึเปล่าที่ผมบอกว่า หุ้น (หรือดัชนี) จะเป็นขาขึ้นหรือลงเต็มตัวได้ ต้องมาพร้อมกับ ADX ที่มีค่าสูงเกิน 20 และจากกราฟนี้ ย้อนหลังไปถึงช่วงปี 2537 มีเพียงแค่สามช่วงเวลาเท่านั้นที่ดัชนีลงอย่างจริงจัง คือปี 2537 (สีฟ้ากรอบแรก), ปี 2551 (สีฟ้ากรอบสอง) และที่สุดท้าย ก็คือปัจจุบันนี้เอง !
แปลว่าอะไร ? การที่เส้น DI- ตัดอยู่เหนือ DI+ ได้ แถม ADX ยังบ่งบอกกำลังซะขนาดนั้น ในภาพใหญ่ขนาด Month ! มันอาจจะหมายถึงขาลงคราวนี้ยังไม่จบง่ายๆ ก็เป็นได้ และดัชนีก็หลุดเส้น EMA15 ไปแล้วด้วย
แต่ย้ำว่า “อาจจะ” เท่านั้น การที่ในอดีตมันไม่เคยเกิดสัญญาณหลอก ไม่ได้แปลว่าตอนนี้จะเป็นสัญญาณหลอกไม่ได้ เพราะเรายังเหลือแนวรับอีกแนวนึงให้ได้ลุ้น คือตรงนี้ครับ
เส้นสีชมพูนี้เองคือความหวัง มันเคยเป็นแนวรับช่วงประมาณต้นปี 2557 ที่หุ้นอยู่ช่วงต่ำสุด นอกจากนี้ยังเคยเป็นแนวต้านประมาณปี 2554 (ช่วงก่อนน้ำท่วม) และเคยเป็นแนวต้านย้อนไปถึงปี 2533 นู้นเลย
ทั้งหมดที่ผมวิเคราะห์มานี้ก็ไม่อาจฟันธงได้ว่าดัชนีจะเป็นอย่างไรต่อไป ทั้งหมดที่นำเสนอมานี้คือมุมมองที่มีต่อทั้งขาขึ้นและลงเท่านั้น ว่ามันจะขึ้นเพราะอะไร และจะลงต่อได้เพราะอะไร ไม่มีใครฉลาดกว่าตลาดครับ ตลาดไม่ได้ให้เงินกับคนที่ฉลาดกว่ามัน แต่คนที่เคารพตลาดเท่านั้นที่จะได้เงินทั้งหมดไป
มิน่าล่ะทำไมครึ่งปีหลังผมถึงคืนกำไร เพราะผมเถียงกับตลาดมากเกินไปนั่นเอง :P
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น