“มีเงินแต่ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี?”
“มีเงินอยากลงทุน ก็กลัวความเสี่ยง กลัวไม่คุ้มค่า”
“อยากให้เงินเก็บของเราเพิ่มขึ้นจัง ทำไงดีนะ”
ข้อสงสัยข้างต้นจะหมดไปหากเรารู้วิธีการจัดการมูลค่าของเงินตามกาลเวลาครับ สมมุติว่าเรามีเงินจำนวนหนึ่ง แล้วเราสามารถเก็บเงินก้อนนี้ได้ โดยไม่เอาไปใช้จ่ายอะไรเลย ตามระยะเวลาต่างๆ เช่น 2 ปี 5 ปี 10 ปี ลองมาดูคำแนะนำเหล่านี้ดีกว่า ว่าเราจะบริหารเงินก่อนนี้อย่างไรให้คุ้มค่าที่สุด มาติดตามกันเลยครับ !
แนวคิดแรก “ซื้อสิ่งที่เป็น Asset”
สิ่งที่เป็น Asset หรือสินทรัพย์ ก็คือสิ่งที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในเงื่อนไขที่ว่า สามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ในระยะยาว
แล้ว Asset เหล่านั้นคืออะไร ? ลองพิจารณาสิ่งที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และชนะเงินเฟ้อได้ ก็ได้แก่ ที่ดิน อสังหาริมทรัพย์ทำเลดีๆ ที่ไม่สามารถก๊อปปี้ได้ หุ้นของบางกิจการ ของสะสมที่มีคุณค่า (เหรียญ พระเครื่อง ฯลฯ) หรือแม้แต่หุ้นกู้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าเงินเฟ้อ พันธบัตรรัฐบาลที่ให้ผลตอบแทนในระยะยาว สิ่งเหล่านี้ล้วนเข้าเกณฑ์มากน้อยต่างกันไป
แต่ไม่ใช่กับเงินฝากในธนาคารอย่างแน่นอนครับ เพราะการฝากเงินไว้กับธนาคารจะไม่สามารถให้ผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อได้ เนื่องจากธนาคารก็เป็นกิจการที่ต้องการเอาชนะเงินเฟ้อเช่นกัน
แนวคิดที่สอง "ลงทุนในกองทุนรวม"
การลงทุนในกองทุนรวมนั้นโดยสถิติแล้วจะให้ผลตอบแทนราวๆ 5-10% ต่อปี ถึงแม้ภาวะของตลาดหุ้น การลงทุน และสภาพเศรษฐกิจในช่วงนี้ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่ แต่ผลตอบแทนจากการลงทุนผ่านกองทุนรวมนั้นก็ยังสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ (เงินเฟ้อเฉลี่ย 3% ต่อปี)
การลงทุนในกองทุนรวมนั้นก็แสนจะง่ายดาย เพียงเราเดินไปที่ธนาคารและขอเอกสารสมัครเข้ากองทุนรวม กรอกใบสมัคร และซื้อกองทุนที่เราต้องการ (ใครมือใหม่ลองอ่านบทความนี้เพิ่มเติมได้นะครับ)
เคล็ดลับอีกนิดหน่อยครับ การซื้อลงทุนแบบถัวเฉลี่ยก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจนะ ด้วยการให้ธนาคารผูกบัญชีกองทุนรวมกับบัญชีเงินฝากของเรา และให้ตัดเฉลี่ยเท่ากันทุกเดือน อาจเป็นเดือนละ 5,000 บาท หากกองทุนรวมให้ผลตอบแทน 5% ต่อปี เงินลงทุนของเราจะเติบโตเป็นสองเท่าภายในไม่เกิน 7-10 ปี
แนวคิดที่สาม "ลงทุนในทองคำ"
อย่าเพิ่งร้องยี้ถึงแม้จะมีคนดอยทองคำที่ราคา 26,000 บาทมากมายก็ตาม :P ทุกคนคงจะบอกว่ามันไม่น่าสนใจเลยใช่มั้ยครับ แต่ลองพิจารณาให้ดีแล้วจะพบว่า “ราคาทองคำ” นั้นลดต่ำลงมาค่อนข้างจะมาก ถ้าเราคิดจะลงทุนยาวๆ และเป็นเงินเย็นๆ ที่ไม่ต้องใช้ในระยะเวลาอันสั้นอยู่แล้ว การลงทุนในทองคำในช่วงนี้ถือว่าเราได้ “ซื้อของถูก”
เนื่องจากราคาทองคำนั้นตกลงมากว่า 20 -30% นักวิเคราะห์บางสำนักบอกว่า ราคาทองคำตอนนี้ถูกกว่าราคาหน้าเหมืองซะอีก! อย่างไรก็ตามการลงทุนในทองคำนั้นก็มีความเสี่ยง เราไม่รู้ว่าราคาทองจะเป็นขาลงอีกนานแค่ไหน นักลงทุนทองคำต้องพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจซื้อนะครับ (ปล. ดูกราฟช่วยได้นะเออ)
แนวคิดสุดท้าย "ลงทุนกับกิจการที่มีอนาคต"
แนวคิดนี้ขอนำเสนอความแตกต่าง และออกจะนำสมัยเสียหน่อย ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินคำว่า Start Up หรือกิจการเล็กๆ ที่เพิ่งเริ่มต้น แต่มีอนาคตไกลกันมาบ้างแล้ว กิจการเหล่านี้ เช่น Face Book ก็เคยเป็นกิจการเล็กๆ มาก่อนเหมือนกัน คิดขำๆ หากเราลงทุนกับกิจการเหล่านี้แล้วประสบความสำเร็จ ผลตอบแทนมันมากกว่าหุ้นซะอีกนะครับ ! แต่ก็มีความเสี่ยงสูงเช่นกัน
เคล็ดลับก็คือ เราต้องคอยเฝ้าหา และติดตามกิจการ Start Up ดีๆ ที่น่าสนใจ ซึ่งในปัจจุบันเราสามารถเข้าไปหากิจการเหล่านี้ผ่านเครือข่ายสังคมออนไลน์ได้ไม่ยากอีกต่อไปครับ แนวคิดนี้อาจจะล้ำสมัย หรือเข้ากับยุคสมัยใหม่เสียหน่อย แต่ถ้าเรามีเงินทุนจริงๆ ลองเริ่มหากิจการดีๆ ที่ขาดแคลนเงินทุนดูนะครับ
อย่าคิดว่าต้องใช้เงินมากมาย เพราะ Start Up เหล่านี้ต้องการเงินเพื่อให้อยู่รอดภายในระยะแรก และการระดมทุนก็จะมาจากผู้คนที่สนใจหลายๆ คน ไม่ได้มากมายอย่างที่เราคิดนะ
ลองศึกษาไว้ไม่เสียหลาย เพราะในอนาคตเทรนด์เหล่านี้จะมาอย่างแน่นอนที่สุดครับ
ขอบคุณผู้ใหญ่ใจดีจากธนาคารกรุงศรีฯ ที่เผยแพร่บทความนี้ครับ ^^
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น