เท่านั้นยังไม่พอ ในระหว่างทางที่หุ้นแรลลี่ลงเขาอย่างสนุกสนาน มันทำให้หลายๆ คนคิดว่านี่คือ "หุ้นคุณค่า" ที่ราคามัน Under Value แบบมโหฬาร ไม่ซื้อไม่ได้ ก็ใช่ครับ มันลงต่อไปอีกแบบมโหฬารเลย และมีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยด้วยที่เจ็บตัวจากหุ้นคุณค่าสองตัวนี้ (ส่วนคนที่ถือ Put DW มาตลอดทางก็ยิ้มกรุ่มกริ่มกันไม่น้อย)
กราฟซ้ายมือ คือกราฟของหุ้น DTAC ส่วนขวามือจะเป็น Put DW ของหุ้น DTAC ราคา DW ขึ้นมาตั้งเท่านึงแหน่ะ !
ส่วนอันนี้คือ PTTEP และ DW ของ PTTEP จะเห็นว่าราคาเจ้า Put DW ก็ขึ้นอย่างเมามันเช่นกัน
แล้วมันเกิดอะไรกับหุ้นสองตัวนี้ล่ะ ความเป็นคุณค่าของมัน ทำไมถึงกลับมาฆ่าเราอย่างเลือดเย็นซะได้
DTAC (ซึ่งตอนนี้หลายๆ คนเปลี่ยนชื่อจากดีแทคเป็น "ดีแตก" ซะแล้ว) ที่ราคาหุ้นลงจาก 96 มาเหลือ 30 บาท ในระหว่างทางที่ลงจาก 90 เหลือ 80 70 60 บาท แน่นอนว่าต้องมีคนซื้อเพราะ Dividend Yield ที่สูงเกือบ 10% อยู่แล้ว PTTEP ที่ร่วงลงมาจากราว 110 บาทก็เช่นเดียวกันครับ ทุกราคาที่ลงมีคนบอกว่ามันคือราคาที่ถูกตลอด แต่ถูกแล้วมันก็ดันมีถูกกว่าได้
Dividend Yield สูงขนาดนี้ก็ยากที่ใครจะอดใจไหว ตั้ง 10%+ แหน่ะ
ใช่ครับ เราดูพื้นฐาน ดูอัตราส่วนนู้นนี้นั้น ดูทุกอย่าง แต่เราลืมดูเรื่องของอนาคต !!
ความจริงอย่างนึงที่หลายคน (รวมถึงผม) มักจะลืมก็คือ ข้อมูลแทบทั้งหมดที่เรารับรู้ได้ ณ ตอนนี้มันล้วนเป็นอดีตไปแล้วทั้งนั้น งบการเงินก็อดีต ลักษณะธุรกิจก็อดีต อัตราส่วนทางการเงินต่างๆ มันก็คืออดีตเท่านั้น มันบอกเราได้เพียงแค่สถิติเล็กน้อย อย่างเช่นหุ้นที่มีกำไรเติบโตมา 9 ปีติดกัน คิดด้วยหลักความน่าจะเป็นง่ายๆ ปีที่ 10 กำไรมันก็ควรเพิ่มด้วย ถูกต้องใช่มั้ยครับ ?
แต่ถ้าในปีนั้น บริษัทเกิดไฟไหม้ ! หรือคู่แข่งมาตีตลาดจนเจียนตาย สิ่งต่างๆ อันสวยงามที่เรารับรู้มามันก็ไม่มีความหมายเลย นั่นทำให้ราคาหุ้นที่ร่วงลงมา ถูกแค่ไหนก็ไม่น่าซื้อ ถูกแล้วก็มีถูกอีกได้ การที่หุ้นลงอย่างหนักหน่วงมันย่อมมีเหตุผลเสมอครับ อยู่ที่ว่าเราจะรู้หรือไม่รู้ก็แค่นั้นเอง
มันก็เหมือนการขับรถโดยไม่มองกระจกหน้านั่นแหละ แล้วมันจะไปถึงปลายทางที่เรียกว่ากำไรได้ยังไงกันล่ะ !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น