นี่ขนาดเราแค่สมมติเองนะครับเนี่ย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วมันอาจกดดันกว่านี้อีกมาก เพราะการที่หุ้นตัวหนึ่งจะโดนถอดออกจากตลาดได้ อาจหมายถึงบริษัทนั้นอยู่ในสภาพ ?โคม่า? จนต้องกลับไปฟื้นฟูตัวเองพักใหญ่ๆ และอย่างที่เรารู้ ผลลัพธ์ของอาการโคม่าจะมีอยู่ 3 แบบเท่านั้น 1. รอด 2. โคม่าต่อไป และ 3. ตาย !
แน่นอนว่ามันเสี่ยง แต่ในความเสี่ยงนั้นมันก็มี "ของดี" ซ่อนอยู่เหมือนกันนะ
ยังจำได้รึเปล่าครับ ราว 3-4 เดือนก่อนมีหุ้นตัวนึงชื่อ PK ได้กลับเข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์อีกครั้ง ก่อนหน้านี้หุ้น PK ถูกถอดออกจากตลาดไปช่วงกลางปี 2553 โดยราคา ณ ตอนนั้นอยู่ที่ 0.40 บาทต่อหุ้น และนี่คือหน้าตาของงบการเงินบริษัทช่วงเวลานั้นครับ (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2552)
อย่างที่เราเห็น ส่วนของผู้ถือหุ้น PK ติดลบกว่า 1,030 ล้านบาท พร้อมด้วยขาดทุนสะสมที่สูงถึง 1.6 พันล้าน ใครก็ตามที่เข้าไปซื้อหุ้นตอนราคา 0.40 บาท หากพิจารณาจากงบแล้วดูยังไงก็ไม่น่ามีความหวัง คนที่ถือหุ้นอยู่คงกระอักกระอ่วนใจไม่น้อยเลย กราฟก็ดูไม่ได้ด้วย ถูกต้องรึเปล่าครับ ?
แต่สิ่งนึงที่เราต้องระลึกเสมอก็คือ งบการเงินนั้นเป็นเพียงอดีตที่ผ่านมาแล้ว เราไม่อาจคาดการณ์อนาคตได้ 100% ว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไป และ PK ก็เช่นกันครับ หลังจากที่บริษัทได้กลับไปฟื้นฟูกิจการเรียบร้อย หุ้นก็ถูกปลดเครื่องหมาย SP ออก และได้เข้ามาเทรดอีกครั้งในวันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมานี้เอง ภาพที่จะเห็นต่อไปนี้คือกราฟหุ้นของ PK ในวันแรกที่เข้าซื้อขายครับ
เป็นอย่างที่เห็นครับ ราคาเปิดตลาดในวันนั้นสูงถึง 5 บาท ! แม้จะปิดตลาดที่ราคา 3.02 บาทก็ตาม แต่คนที่ "พลาด" ซื้อหุ้นตัวนี้ตอนราคา 0.40 บาท (ความจริงคงไม่เรียกว่าพลาดแล้วล่ะ) ก็ยังได้รับผลตอบแทนสูงถึง 655% ในเวลาเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นกว่า 49.83% ต่อปี หรือถ้าโชคดีถือหุ้นไปได้อีกสักพักแล้วขายที่ราคา 7 บาท ผลตอบแทนที่ได้มันก็เป็นอะไรที่ปลื้มปีติอย่างมาก
สิ่งนี่ล่ะครับคือ "ของดี" ที่ผมพูดถึง แต่ไม่ได้หมายความว่าให้เราไปดักซื้อหุ้นที่ติด SP ทุกตัวนะครับ เพราะความเสี่ยงก็อย่างที่บอกไปข้างต้น ใน 10 ตัวอาจมีฟื้นจากความตายได้แค่ตัวเดียวเท่านั้น และเราไม่อาจรู้ได้เลยว่าหุ้นตัวไหนจะฟื้นจริงๆ ด้วย
อีกปัจจัยหนึ่งคือเรื่องของเวลา ในกรณีของ PK ผมคิดว่าเป็นหุ้นไม่กี่ตัวที่ไปฟื้นฟูกิจการได้ไวมากจนกลับมาเทรดได้ ก่อนหน้านี้มีหุ้นอีกตัวชื่อ BIG ที่ถูกพักการซื้อขายช่วงราวๆ ปี 40 แม้เข้าตลาดมาใหม่ราคาจะพุ่งแรงเหมือนกัน แต่ด้วยเวลาที่นานมาก หากคิดเป็นผลตอบแทนต่อปีแล้ว บางทีนี่อาจจะไม่คุ้มกับความอึดอัดใจที่เราต้องเสียไปก็ได้
แต่ก็อย่างว่า ของอย่างนี้มันอยู่ที่ความพึงพอใจของแต่ละคน เพราะหากมองอีกมุมแล้ว การอยู่เฉยๆ โดยไม่ต้องทำอะไร มันอาจเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดในการสร้างผลตอบแทนก็ได้ครับ อย่างที่เคยเกิดกับหุ้น PK
ก็ต้องขอฝากไว้ก่อนจบบทความนี้สองอย่าง หนึ่ง มันมีความเสี่ยงในตัวเสมอ และสอง ที่ผมเล่ามาทั้งหมดนี้ มันเป็นเพียงเรื่องสมมติ โปรคใช้วิจารณญาณ (:
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น