ตอนที่เรายังเป็นเด็ก สิ่งที่จะคอยประเมินเราทุกเทอมว่าเราเรียนเก่งหรือไม่เก่ง นั่นก็คือเกรด, เวลาดูการแข่งขันกีฬาต่างๆ คะแนนจะเป็นตัววัดว่าใครคือผู้ชนะ, หรือการจัดอันดับว่าใครที่รวยที่สุด เราก็จะวัดจากจำนวนเงินที่เขามีอยู่ ดูเหมือนว่าสภาพแวดล้อมในสังคมจะทำให้เราเป็นคนที่ตัดสินแทบจะทุกอย่าง ว่าอะไรกันคือถูก อะไรกันคือผิด แน่นอนครับ มันรวมถึงการลงทุนด้วย
และสิ่งที่คนจำนวนมากนิยมใช้เพื่อประเมินการลงทุนในแต่ละครั้ง นั่นก็คือการดูว่าได้กำไรหรือขาดทุนนั่นเอง
ทีนี้ปัญหามันอยู่ที่ว่า สมมติวันนึงเราเทรดแล้วขาดทุน คำถามคือเราคิดผิดใช่รึเปล่า ? แล้วถ้ามันเป็นการขาดทุนเพราะเราขายเนื่องจากราคาหลุดจุด Stop Loss มันจะยังเป็นเพราะเราคิดผิดอยู่อย่างนั้นเหรอ ? ถ้าอย่างนั้นก็น่าคิดแล้วล่ะครับ เพราะอย่างที่เรารู้กันว่าในการลงทุนนั้นจุดตัดขาดทุนคือสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย นั่นแปลว่าการตัดสินนักลงทุนสักคนนึงว่าเค้าถูกหรือผิด มันวัดไม่ได้จากกำไรขาดทุนแน่ๆ
ใช่แล้วครับ มันวัดจากเหตุผลของแต่ละการกระทำต่างหาก ว่าในแต่ละ Action ที่เกิดขึ้น เราได้กระทำลงไปโดยมีเหตุผลที่มากพอจะมารองรับหรือไม่
ยกตัวอย่างเช่น นาย A และนาย B ซื้อหุ้นตัวนึงมาที่ราคา 20 บาท และกำหนดจุดตัดขาดทุนไว้ที่ 18 บาท เมื่อผ่านไปสักพัก ปรากฎว่าตลาดก็ลงจนลากหุ้นตัวนี้มาอยู่ที่ราคาต่ำกว่าจุด Stop Loss ด้วย สำหรับนาย A ผู้ปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด ก็ได้ขายหุ้นออกไป ด้วยเหตุผลที่ว่ามันลงมาจนถึงจุดที่วางไว้แล้ว ส่วนนาย B กลับดื้อดึง และหวังแต่ว่าราคาหุ้นจะกลับขึ้นไปในไม่ช้า ที่สุดแล้วหุ้นกลับลงต่อจนทำให้นาย B ต้องขายขาดทุนไปที่ 15 บาท เห็นอะไรรึเปล่า ? แม้จะเป็นการขาดทุนเหมือนกัน แต่ความเป็นเหตุเป็นผลของแต่ละคนมันต่างกันลิบลับเลย
ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้การลงทุนนั้นเป็นสิ่งที่แตกต่างกับทุกอย่างในโลกจนน่าหลงใหล เพราะมันไม่ได้วัดง่ายๆ หรือมีเกณฑ์ตายตัว แต่สิ่่งที่จะบ่งบอกว่านักลงทุนคนนั้นถูกหรือผิด มันขึ้นอยู่กับหลายๆ องค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นวิธีคิด หลักการ เหตุผล ทัศนคติ ความเชื่อ หรือแม้กระทั่งโชค ซึ่งทั้งหมดนี้เองจะนำไปสู่คำตอบเพียงสองทางเท่านั้น ไม่กำไรพันล้าน ก็ขาดทุนย่อยยับ
และที่สำคัญ ของอย่างนี้มันต้องดูไปยาวๆ เหมือนกับคำคมนึงที่หลายคนน่าจะเคยได้ยินครับ
“ในยามที่ลมพัดแรง แม้แต่ไก่งวงก็ยังบินได้
แต่ยามที่ลมพัดหวน ผู้ที่อยู่ได้คือพญาอินทรีย์เท่านั้น”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น