Time Frame ความหมายภาษาไทยแบบตรงตัวก็คือ "กรอบเวลา" ซึ่งในที่นี้หมายถึงกรอบเวลาที่เราใช้ในการเทรดครับ เพราะแท่งเทียน 1 แท่งราคา นอกจากจะแทนภาพ 1 วันแล้ว ยังมีแท่งละหนึ่งอาทิตย์หรือหนึ่งเดือนให้เลือกใช้กันด้วย (เรียกเล่นๆ ว่าภาพ Week และภาพ Month) หรือจะยิบย่อยไปถึงแท่งละ 1 นาทีก็มี
แล้วใช้ไทม์เฟรมไหนล่ะถึงจะทำเงินได้มากที่สุด ?
ผมตอบก่อนเลยว่ามันไม่มีใครตอบได้หรอกครับว่าเฃ่นกราฟแบบไหนรวยสุด ส่วนเหตุผลก็คือ การใช้กราฟในแต่ละไทม์เฟรม มันต่างก็มีข้อดีและข้อจำกัดในตัวมันเองทั้งนั้น
เริ่มกันที่ไทม์เฟรมยอดนิยมอย่างภาพ Day (แท่งละ 1 วัน) ข้อดีของการเทรดในภาพนี้ก็คือ มันเป็นไทม์เฟรมที่ได้กำไรไว (ก็มันแท่งละวันนี่นา) หรือพอเวลาเรารู้ตัวว่าผิดทาง ก็สามารถขายได้โดยไม่ต้องเสียเวลารอมากนัก เพราะถ้าเป็นไทม์เฟรมที่ใหญ่กว่านี้ กว่าจะรู้ตัวว่าหุ้นมันผิดทาง อาจใช้เวลาเป็นเดือนเลยก็ได้
แต่ข้อจำกัดของการเทรดในภาพ Day นั่นคือราคาหุ้นมันจะหวือหวาสูงมาก (ยิ่งเล็กยิ่งหวือหวา) เพราะยิ่งไทม์เฟรมเล็ก ผมมองว่าคนจะใช้อารมณ์ในการลงทุนมากกว่าเหตุผลครับ เรื่องงบการเงินยิ่งไม่ต้องพูดถึง มีผลกับแค่หุ้นบางตัวเท่านั้น
แล้วภาพ Week ล่ะ ? สำหรับภาพ Week (แท่งละ 1 อาทิตย์) ข้อดีที่ผมชอบมากแบบสุดๆ นั่นคือเมื่อใดก็ตามที่ราคาหุ้นเป็นขาขึ้น มันจะไปไกลมาก (แถมนี่คือภาพที่ผมใช้เทรดด้วย)
นี่คือหุ้นในตำนานอย่าง EA ที่วิ่งจาก 8 บาทไป 25 บาท โดยไม่หลุด EMA 5 ในภาพ Week แม้แต่สัปดาห์เดียว
นอกจากนั้นพื้นฐานของกิจการจะมีผลกับหุ้นในไทม์เฟรมนี้ครับ หากหุ้นมีสัญญาณซื้อ แต่บริษัทเพิ่งขาดทุนมากกว่าเดิม ราคาหุ้นก็ยากที่จะไปต่อได้ แต่ข้อจำกัดมันก็มีอยู่ อย่างแรก กว่าจะรู้ตัวว่าผิดทางก็เสียเวลาไปหลายอาทิตย์ (อย่าลืมว่าต้นทุนของเวลามันแพง) และอย่างที่สอง หากเราเน้นรันเทรนด์ การคืนกำไรในช่วงท้ายจะมหาศาลมาก ต้องระวังไว้ให้ดี
ส่วนไทม์เฟรมสุดท้ายที่จะพูดถึงก็คือภาพ Month (แท่งละเดือน) ข้อดีก็คล้ายๆ ภาพ Week นั่นคือเวลามีเทรนด์อะไร มันมักจะมาจริง แถมไปไกลด้วย และงบการเงินจะมีผลมากที่สุดก็ในภาพนี้นี่เอง (ผมว่าถ้าวีไอใช้กราฟ Month ประกอบการลงทุน จะช่วยได้เยอะเลย) ส่วนข้อเสียก็คือ กว่าจะรู้ตัวว่าขาดทุนนั้นมันต้องรอนานมาก และหากจะขายหลังจากถือมาสุดเทรนด์ การคืนกำไรให้ตลาดจะเป็นสิ่งที่ต้องเจออย่างช่วยไม่ได้
ดังนั้น การจะใช้ไทม์เฟรมไหนเล่นมันขึ้นอยู่กับ "ความต้องการ" ของเราเองมากกว่า หากเราอยากรันเทรนด์ยาวสักหน่อย การใช้กราฟ Month หรือ Week ก็เป็นอะไรที่เหมาะสม แต่ถ้าไม่อยากถือหุ้นนานมากนัก กราฟ Day ก็อาจเป็นคำตอบที่ใช่
อย่างผมเองที่เทรดภาพ Week เป็นหลัก ในบางสัปดาห์ที่ไม่มีหุ้นให้ซื้อเลย ผมจะหาหุ้นภาพ Day เพื่อเป็นแหล่งพักเงินในระยะสั้นๆ เพราะผมมองว่าการถือเงินสดมันมีต้นทุน แต่นั่นก็หมายถึงผมต้องควบคุมความเสี่ยงให้ดีด้วย
อีกอย่างที่อยากจะแชร์ในการซื้อหุ้นก็คือ ควรจะมองกราฟในไทม์เฟรมที่ใหญ่กว่าด้วยครับ ในบางครั้ง แม้หุ้นจะมีสัญญาณซื้อในภาพ Day แต่ถ้าภาพ Week ยังเป็นขาลง มันก็จะพากราฟไทม์เฟรมที่เล็กกว่าให้ลงตามไปด้วย ภาพใหญ่จะเป็นตัวกำหนดภาพเล็กครับ
น่าสนใจคับ
ตอบลบ