ถ้าผมเขียนสั้นๆ ว่า "ทำใจ" มันคงจะเป็นการรวบรัดประเด็นไปหน่อย เหมือนกับเหตุผลที่เราดูหนังรักนั่นแหละ เรารู้ว่าสุดท้ายพระเอกกับนางเอกจะต้องรักกันก็จริง แต่เราดูเพื่อเสพเรื่องราวระหว่างนั้นมากกว่า จริงมะ
เข้าเรื่องกันดีกว่า เราจะทำยังไงถ้าหุ้นลง.. ผมว่าคำถามนี้อาจกว้างไปนิด เพราะผมไม่รู้ว่า "ลงลึกแค่ไหน" พูดในแง่รูปธรรมกันก่อนนะ ถ้าหุ้นลงแต่ยังไม่ถึงจุด Cut Loss มันก็ไม่มีเหตุผลให้ออกหรอกครับ เพราะโดยมากแล้วมันจะเป็นการพักตัวซะมากกว่า
แต่นั่นเป็นแค่ส่วนใหญ่เท่านั้น เพราะมีส่วนน้อยบ้างที่เราจำเป็นต้องขายแม้จะยังไม่หลุดจุดคัทลอส เช่น แท่งกราฟทำรูปแบบกลับตัว (Shooting Star Doji, Bearish Engulfing ฯลฯ) นั่นก็อาจเป็นสัญญาณขายที่ดีเพื่อล็อกกำไรเอาไว้ หรืออย่างผมเองก็ขายตั้งแต่ยังไม่ลงเลยก็มีเหมือนกัน เช่น การเกิด Gab แบบทั้งแท่งเป็นต้น (อ่านบทความเรื่อง Gab เพิ่มเติมได้ที่นี่)
แล้วจุดคัทลอสที่ว่ามาจากไหน ? ผมแนะนำเรื่องสำคัญมากๆ อย่างนึงเลยก็คือ ก่อนซื้อหุ้นควรจะกำหนด "จุดขาย" ไว้เลยครับ ว่ากรณีที่ผิดทางเราจะหนีตายตรงไหน หรือถ้ามันถูกทาง เราจะเลื่อนจุดคัทลอสไปยังไงหรือออกยังไง ถ้าเราเล่นเทคนิคแต่ไม่มีจุดคัท บอกได้เลยว่าตายสถานเดียว
จุดคัทลอสเองเราจะวางไว้ตรง Low ของก่อนหน้านี้ก็ได้ หรือถ้าเอาแบบง่ายที่สุด หาเส้นค่าเฉลี่ยสักเส้นนึงเพื่อกำหนดจุดขาย ซึ่งข้อดีของเส้นค่าเฉลี่ยก็คือ มันจะเลื่อนจุดขายตามราคาหุ้นอัตโนมัติ ดังนั้นในกรณีของ EMA (เส้นค่าเฉลี่ย) หากราคาหุ้นลง แต่สามารถยืนเหนือเส้นที่เรากำหนดแต่แรกได้ ก็อาจไม่มีเหตุผลให้เราขายทิ้ง (ยกเว้นแต่ส่วนน้อยที่ผมบอกไว้ก่อนหน้านี้)
แต่ถ้าเกิดหุ้นลงแล้วหลุดจุดคัทลอสด้วยล่ะ ? นี่แหละคือปัญหาใหญ่ เพราะคำตอบมีเพียงคำเดียวคือ "ขาย" ทุกกรณี ที่มันเป็นปัญหา ก็เพราะมือใหม่ส่วนใหญ่จะไม่กล้าคัทลอส
พอไม่กล้าคัทลอส สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นมันจะเป็นภาวะที่กลืนไม่เข้า คายไม่ออก เพราะเราแหกกฎมาครั้งนึงแล้วนี่นา พอหุ้นลงต่อ เราก็ลุ้นให้มันเด้งขึ้นเพื่อขาย พอหุ้นเด้งขึ้น เราก็โลภให้มันเด้งต่อไปอีก แล้วพอมันลงไม่หยุด เราก็กลายเป็นวีไอจำเป็นตามสูตรเป๊ะๆ
ไม่มีตำราเล่มไหนบอกเราว่าห้ามขาดทุนจากการลงทุนหรอกครับ ขาดทุนได้ แต่มันต้องเป็นการขาดทุนเล็กน้อยเพื่อรักษาทุนส่วนใหญ่เอาไว้ ถ้าเราดื้อดึงที่จะไม่ยอมขายออก มันจะเป็นเหมือนกับตัวอย่างข้างล่างนี้
นี่คือหุ้นที่ผมเคยซื้อขายจริงเมื่อประมาณสามเดือนที่แล้ว สังเกตที่หมายเลข 1 นะครับ นั่นคือจุดที่ผมเข้าซื้อ (ประมาณ 7.15 บาท) จากนั้นมันก็วิ่งอย่างเมามันจนถึง 9.70 บาท แต่เมื่อถึงหมายเลข 2 อยู่ดีๆ ราคาหุ้นก็โดนทุบลงมาอย่างรุนแรงจนราคาหุ้นต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย 10 วัน นั่นแหละคือจุดที่ผมขายออก เพราะ System Trade ของผมกำหนดมาแบบนี้
แต่ถ้าทะลึ่งถือต่อจะเกิดอะไรขึ้น ? มันก็วิ่งไป 10 บาทน่ะสิ ! ถามว่าเจ็บใจมั้ย แน่นอนว่าได้แต่มองตาปริบๆ แต่แล้วยังไงต่อล่ะ ถึงมันจะวิ่งไป 10 บาทก็จริง แต่จากนั้นไม่นานนักราคาหุ้นก็ลงอย่างหนักหน่วง (หมายเลข 4) พอเห็นผลลัพธ์ของการไม่ยอมคัทลอสรึยังครับ ?
เอาล่ะ เราพูดเรื่องการขายตัดขาดทุนในแง่รูปธรรมไปแล้ว มาในด้านของใจเราเองบ้าง แม้การคัทลอสจะเป็นสิ่งที่ใครๆ ก็พูดได้ แต่เมื่อถึงเวลาหน้างาน หลายคนต้องรู้สึกอึดอัดบ้างล่ะ ขนาดผมยังอึดอัดเลย (ก็มันต้องเสียเงินนี่นะ) แล้วเราจะแก้ปัญหานี้ได้ยังไงบ้าง ?
ทุกครั้งที่เข้าซื้อหุ้น นอกจากเราจะต้องกำหนดจุดคัทลอสแล้ว ก็จำเป็นที่จะต้องคำนวณว่าควรซื้อหุ้นกี่หุ้นด้วยเช่นกันครับ สมมติเรามีพอร์ต 1 ล้านบาท และรับความเสี่ยงได้ 2% ของพอร์ตโดยรวม (คือยอมเสีย 20,000 บาทว่างั้นเถอะ) หากหุ้นที่เราเข้าซื้อนั้นมีโอกาส "ขาดทุนต่อหุ้น" 1 บาท เราก็เอา 20,000 / 1 จะได้เท่ากับ 20,000 หุ้น นี่ล่ะคือจำนวนหุ้นที่เราจะเข้าซื้อได้ โดยจะไม่ทำให้พอร์ตเราติดลบมากเกินไป และทำให้เรากล้าขายขาดทุนมากขึ้น
ทีนี้มาถึงเรื่องสุดท้าย นั่นคือหลังจากคัทลอสจนเสียเงินและเสียใจไปแล้ว ควรทำยังไงต่อ ? สำหรับมือเก๋าผมไม่ห่วงหรอกครับ เพราะทุกครั้งที่คัทลอส เขาเหล่านั้นก็พร้อมจะเริ่มต้นใหม่เสมอ แต่สำหรับคนที่เพิ่งเข้าตลาด หลายต่อหลายคนกลับเกิดอาการ "เข็ด" จนชีวิตหม่นหมองไปทั้งวันเลยทีเดียว
เพราะมันเกิดอาการ "เสียดาย" ไงครับ โห เสียรถไปตั้งคันนึง เสียไอโฟนไปตั้งเครื่องนึง ถามว่าผิดมั้ย ? เซียนบางคนอาจบอกว่าไม่ควรคิดแบบนี้เพราะจำทำให้เครียดเปล่าๆ แต่ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ ! เสียดายมันเข้าไปให้มาก อย่างน้อยมันก็ทำให้เรารู้ว่าเงินมีค่ามากแค่ไหน
แต่สิ่งที่ต้องทำต่อจากนั้นต่างหากคือตัวตัดสินว่าเราจะอยู่หรือไป ทางแรก เอาคืนแบบไม่ลืมหูลืมตา และทางที่สอง เก็บมันไว้เป็นบทเรียน และค่อยเอาคืนเมื่อสติกลับมาอีกครั้ง นี่ล่ะคือสิ่งที่แบ่งระหว่างผู้ชนะและผู้แพ้
ที่ผมเล่ามาทั้งหมดเกี่ยวกับการคัทลอส ดูแล้วเหมือนจะยุ่งยาก แต่อย่าลืมนะครับ ตลาดไม่ได้ง่ายขนาดนั้น ถ้ามันง่ายจริง ป่านนี้ทุกคนรวยไปหมดแล้วล่ะ :)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น