22 เมษายน 2558

ตลาดหุ้นไทย.. ควรจะพอหรือรอต่อไป

นับตั้งแต่วันแรกที่เปิดตลาดของปีนี้คือ 5 มกราคม 2558 ซึ่งดัชนี SET อยู่ที่ประมาณ 1,482 จุด ผ่านมาเกือบๆ จะครบ 4 เดือนแล้วดัชนีก็แทบไม่วิ่งไปไหนเลย โดยล่าสุดนั้นอยู่ที่ 1,552 จุด (22 เมษายน) นั่นแปลว่าตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนของตลาดหุ้นบ้านเราโตเพียง 4.72% เท่านั้น และไม่ต้องพูดถึงหุ้นเป็นรายตัวครับ ส่วนใหญ่แล้วก็ออกข้างไม่ก็ดิ่งนรกกันทั้งนั้น มีไม่กี่ตัวที่สามารถพุ่งอย่างน่าเร้าใจ เช่น TLUXE และ TRC



ถามว่าทำไมดัชนีบ้านเราถึงแกว่งไปแกว่งมาแบบในรูปล่ะ ? ผมเองมองว่าสาเหตุหลักน่าจะมาจากหุ้นตัวใหญ่เพียงแค่ 2 ตัวนะครับ ตัวแรกคือ PTT และตัวที่สองคือ SCC นี่แหละคือตัวเจ้าปัญหาทั้งสองที่ผมคิดว่ามันทำให้ตลาดบ้านเราไม่ไปไหน

ผมคิดว่าสาเหตุเป็นแบบนี้ครับ 

ช่วงปลายปีที่ผ่านมาที่ราคาน้ำมันทั่วโลกดิ่งลงเหวอย่างหนัก นั่นหมายถึงบริษัทน้ำมันอย่างปตท. ย่อมโดนหางเลขอย่างช่วยไม่ได้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ราคาหุ้น PTT จะร่วงลง เพราะเมื่อบริษัทกำไรลดลง ราคาหุ้นย่อมลดลง ถูกต้องมั้ยครับ ? ผลลัพธ์ก็อย่างที่เห็นในภาพ และด้วยความที่มันมีขนาดใหญ่มากๆ ในตลาด จึงย่อมมีผลทำให้ SET ลงอย่างช่วยไม่ได้


ช่วงท้ายๆ ของกราฟ หุ้น SCC แรลลี่ไปอย่างสวยงาม แต่ PTT เหวี่ยงสะบัดช่อเลย

ทีนี้มาในส่วนของหุ้น SCC กันบ้าง การที่ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงแม้จะส่งผลร้ายต่อบริษัทน้ำมันก็จริง แต่อย่าลืมว่าน้ำมันคือต้นทุนการผลิตที่สำคัญในหลายอุตสาหกรรม แน่นอนครับรวมถึงบริษัทปูนใหญ่อย่าง SCC ด้วย นั่นเท่ากับว่าในขณะที่ราคาน้ำมันลดลงจนทำให้ PTT ย่อยยับ แต่ SCC กลับได้ประโยชน์จากต้นทุนที่ลดลง แล้วราคาหุ้นก็ขึ้นไปอย่างบ้าคลั่งที่ 500 บาท !! หุ้นใหญ่จะขึ้นได้ขนาดนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะเนี่ย

กราฟราคาหุ้นของบิ๊กเบิ้มทั้งสองมันไปคนละทางเลยแฮะ ผมเลยเชื่อว่ามันเป็นสาเหตุที่ทำให้ SET ยังอยู่แบบนี้นั่นแหละ แต่นั่นไม่ใช่คำถามสำคัญเท่าไหร่ เพราะคำถามสำคัญจริงๆ ก็คือ แล้วเราควรจะลงทุนตอนไหนดี ? 

ถ้าหากเทียบกับต้นปี 57 บอกได้คำเดียวว่าคนที่ซื้อหุ้นตอนนั้น ถึงตอนนี้คงรวยไม่รู้เรื่องไปแล้วเพราะตลาด Bullish มากๆ (แน่นอนผมไม่ได้ซื้อ) และหลายๆ คนก็พอจะดูออกว่าตอนนั้นราคาหุ้นมันถูกเนื่องจากก่อนหน้านั้นตลาดลงอย่างไม่เกรงใจใคร แต่ในสถานการณ์แบบตอนนี้ จะขึ้นก็ไม่ขึ้น จะลงก็ไม่ลง มันเป็นอะไรที่ยากกว่ามาก


แต่ผมอยากจะแนะนำอย่างนึงครับ มีรุ่นพี่ที่ผมเคารพมากๆ ได้เคยให้คำแนะนำกับผมไว้ประมาณว่า 

"ถ้าเราไม่แน่ใจกับภาวะตลาดว่าควรจะซื้อดีมั้ย นั่นล่ะคือช่วงจังหวะที่ควรซื้อที่สุด เพราะทุกคนยังลังเล หากเรารอซื้อหุ้นตอนที่ทุกอย่างมันดีไปหมด ถึงตอนนั้นน่ะแหละที่น่ากลัว เพราะข่าวดีมันกระจายไปทั่วตลาดแล้ว และยิ่งถ้าเราซื้อหุ้นได้ในตอนที่ใครๆ ก็สาปส่งหุ้น นั่นจะเป็นการซื้อที่ได้ต้นทุนต่ำที่สุด

แต่ทั้งนี้เราเองก็ต้องคัดเลือกหุ้นด้วยว่าหุ้นตัวไหนที่น่าซื้อ โดยอาจจะดูงบ ดู PE ดูบริษัท ไม่ใช่ไปซื้อโดยที่ไม่ได้วิเคราะห์อะไรเลย นั่นมันก็ไม่ดี (ลืมบอกอีกอย่างว่าพี่ท่านนี้เป็นนักลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐาน) 

และอีกอย่างนึงที่พี่จะบอกน้องก็คือ อย่างน้อยๆ น้องควรจะมีหุ้นอยู่ในพอร์ต เพราะอย่าลืมว่าหากเราถือเงินสดไว้นานเกินไป มันก็เหมือนกับการถือหุ้นที่มี PE สูงมากๆ เพราะเงินสด 100 บาท ไปฝากแบงค์ได้ดอกเบี้ยแค่ 2.50 บาทเท่านั้น PE ตั้ง 40 เท่า แต่หุ้นมันให้ผลตอบแทนดีกว่านั้นมากถ้าเราเลือกหุ้นได้ถูกตัวแลกถูกเวลา"

ที่ผมเล่ามานี้ไม่ได้เชียร์ให้ทุกคนไปซื้อหุ้นหมดนะ ! (แต่ซื้อก็ดีนะครับ ช่วยๆ กันพยุ่งตลาด :P) แต่ผมกำลังจะบอกว่า เวลาที่ทุกอย่างไม่แน่นอนมันอาจจะเป็น "โอกาส" ที่ไม่ได้มีบ่อยก็ได้ครับ หากเราเลือกหุ้นที่จะเป็นผู้ชนะของเราได้ (ไม่ว่าจะเลือกด้วยพื้นฐานหรือเทคนิคก็แล้วแต่) ถ้าหุ้นมันดีจริง แม้ตลาดจะไถออกข้าง แต่หุ้นของเราอาจไปสิบเด้งก็ได้ ใครจะไปรู้

สิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่ภาวะตลาดหรอกครับ แต่มันอยู่ที่ "ใจเราเอง" ตะหากว่านิ่งได้แค่ไหน เราจะวิเคราะห์หุ้นหรือซื้อขายตามความเป็นจริงโดยปราศจากอารมณ์ได้มั้ย เราจะคัทลอสหากหุ้นมันไปผิดทางได้รึเปล่า เพราะสุดท้ายต่อให้ภาวะตลาดเป็นใจหรือเลือกหุ้นถูกตัว แต่ถ้าใจมันไม่ให้ เราก็ตกม้าตายอยู่ดีครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น