ฟังดูย้อนแย้ง
เพราะทุกครั้งที่มีคนรุ่นใหม่ไฟแรงอยากจะเป็นนักลงทุนผู้ร่ำรวย
สิ่งแรกที่ผมจะแนะนำเสมอเลยก็คือ หนังสือ อ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะอ่านได้
เพราะในช่วงเริ่มต้น
ไม่มีใครหรอกครับที่รู้ไปซะทุกอย่างหรือเทรดจนตั้งตัวได้ในเวลาแค่ปีเดียว
แต่ด้วยความเคารพ ผมเองก็ไม่ได้อ่านหนังสือสักเล่มก่อนเข้าตลาด
และเจ๊งด้วยเรื่องง่ายๆ อย่างการไม่รู้จัก Bid Offer ควายตัวเบ้อเริ่ม
หนังสือมีประโยชน์ครับ
แต่ทำไมผมถึงตั้งชื่อจั่วหัวยั่วยวนโทสะสำนักพิมพ์ทั้งหลายซะอย่างนั้น
แม้ปัจจุบันจำนวนหนังสือหุ้นจะยึดอาณาเขตของชั้นหนังสือไปซะหลายชั้น
แต่เราก็ยังสามารถแบ่งมันได้เป็นสองหมวดหลักนะครับ
แบบแรกคือหนังสือหุ้นที่สอนสิ่งที่จับต้องได้ (งบการเงินดูยังไง ตีกราฟอย่างไร)
กับแบบที่สอง คือสอนในเรื่องของทัศนคติ หรือเรียกในอีกชื่อที่ดูมีคุณค่ากว่าก็คือ Mind
Set
สำหรับหนังสือหุ้นในหมวดแรก
แทบไม่ต้องคิดเลยว่าอ่านไปทำไม
เพราะถ้าไม่อ่านก็ไม่ต่างอะไรกับนักรบตัวเปล่าที่วิ่งไปหมายจะคว่ำรถถัง
มันเป็นไปไม่ได้นอกซะจากว่าคุณผู้อ่านจะเป็น The Hulk แต่ถ้าไม่ใช่
ก็อ่านเถอะครับ เพราะวิธีการและเทคนิคต่างๆ
มันก็เปรียบได้กับเครื่องมือที่ใช้ขุดหาทองคำจากตลาดหลักทรัพย์ดีๆ นี่เอง
แต่หนังสือที่สอนในเรื่องของ Mind Set หลายท่านอาจคิดใจตรงกันโดยมิได้นัดหมายว่านี่ก็เป็นเรื่องสำคัญนะ
หากเราลงทุนโดยที่ไม่มีทัศนคติที่ถูกต้อง
การซื้อหรือขายหุ้นแต่ละครั้งเราจะมั่วมาก เข้าด้วยเหตุผลนู้น ออกด้วยเหตุผลนี้
ทัศนคติจึงเป็นเรื่องสำคัญ และน่าจะเป็นสิ่งที่ถ่ายทอดผ่านตัวหนังสือได้.. รึเปล่า
?
เมื่อก่อนนู้นนานมาแล้ว ผมเคยไปเข้าร่วม Work
Shop อันนึงเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะในการคิดบวก
โดยวิทยากรในคลาสนั้นเป็นพิธีกรสารคดีรายการท่องโลกกว้าง (แต่ชื่ออะไรผมลืมไปแล้ว
เย่) เค้าสอนดีนะครับ สนุกและเป็นกันเองมาก เนื้อหาที่สอนนี่อัดแน่นทั้งวัน
แต่ดั๊นมีอยู่เรื่องเดียวที่ผมจำได้
เนื้อความก็ประมาณว่า "เราไม่จำเป็นต้อง Pain
& Gain เสมอไป
เราสามารถที่จะเรียนรู้แบบไม่ต้องเจ็บก็ทำได้ ผ่านการศึกษาจากคนอื่น"
ไม่รู้เพราะเหตุใด
คำพูดนี้มันฝังจนอาจลึกไปถึงก้นบึ้งในหัวใจดวงน้อยๆ ของผม
และผมนำวิธีคิดนี้ไปใช้ในการลงทุนแบบไม่รู้ตัว
นั่นก็คือการอ่านหนังสือหุ้นให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเรื่อง Mind Set เพราะเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าหากเราคิดแบบคนที่สำเร็จ
ยังไงก็สำเร็จ
แต่ไม่น่าเชื่อ
ปีที่ผ่านมาผมกลับผิดพลาดจนทำให้พอร์ตลุกเป็นไฟได้ ด้วยเรื่องง่ายๆ
แค่สองเรื่องเท่านั้น คืออาการคันมือของตัวเอง กับการไม่คุมความเสี่ยง ครับ
มันง่ายแค่นี้จริงๆ
ซึ่งหนังสือหลายเล่มที่ผมอ่านต่างก็ย้ำนักหนาว่า
เออ อย่าเล่นหุ้นในแบบที่เราไม่เข้าใจ อย่าเล่นโอเวอร์เทรด
(ซื้อหุ้นมากเกินความเสี่ยงที่เรารับไหว) มากเกินไป ให้ผมคัดร้อยจบก็คัดได้ครับ
แต่นั่นสิ ทำไมผม (และอาจรวมถึงอีกหลายคน)
ถึงยังพลาดเรื่องที่มีคนย้ำนักหนาแบบนี้ได้
ไม่แน่ ท้ายที่สุดแล้วมนุษย์เราอาจต้องใช้หลัก No
Pain, No Gain ต่อไป
และหนังสืออาจเป็นเพียงการอ่านเพื่อเตรียมใจไว้เท่านั้น ว่ามึงต้องเจอแน่ๆ
ต้องผิดพลาดแน่ๆ
แต่ก็หนังสืออีกนั่นแหละครับ
ที่ทำให้เราฉุกคิดได้ไวกว่าคนที่ไม่ได้อ่าน ว่าเราพลาดเรื่องอะไรลงไป
จะได้แก้ไขไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
เพราะเมื่อเราเรียนรู้และเจ็บด้วยตัวเอง บทเรียนมันจะฝังลึกเข้าไปถึงกระดูกดำราวกับอ่านหนังสือมาล้านเล่มเลยทีเดียว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น