3 เมษายน 2558

งบกระแสเงินสด.. ดูไปทำไม ?

สำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ งบการเงินที่ใครๆ ต่างก็บอกเป็นเสียงเดียวกันว่ามันยากฝุดๆ ก็คือ "งบกระแสเงินสด" นั่นเองครับ จะว่ามันยากก็ไม่แปลกหรอก เพราะมันมีรายการยาวววเหยียดมากๆ แม้หลายคนจะรู้ว่ากระแสเงินสดคือสิ่งสำคัญที่ทำให้ธุรกิจอยู่รอดก็ตาม แต่มีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะยอมอ่าน เพราะมันยากนี่แหละ



แต่ผมมีอะไรจะบอก ผมว่างบกระแสเงินสดมันบอกใบ้ราคาหุ้นแม่นกว่ากำไรสุทธิอีกนะ !


งบกระแสเงินสดนั้นจะประกอบด้วยสามหมวดย่อยๆ ได้แก่ 1. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงาน (Cash Flow from Operations หรือ CFO) 2. กระแสเงินสดจากกิจกรรมการลงทุน (Cash Flow from Investing หรือ CFI) และ 3. กระแสเงินสดจากกิจกรรมจัดหาเงิน (Cash Flow from Financing)

โดยวิธีการดูแบบง่ายที่สุดก็คือ กระแสเงินสดจากการดำเนินงานนั้นควรจะเป็นบวก เพราะแสดงให้เห็นว่าบริษัทนั้นทำธุรกิจและมีกำไรจริงๆ ส่วนกระแสเงินสดจากการลงทุนควรมีค่าเป็นลบ เพราะในแง่ของการลงทุนนั้นบริษัทที่กำลังขยายการเติบโต (นั่นคือสิ่งที่เราชอบ) ก็ควรจะลงทุนเรื่อยๆ และส่งผลให้ CFI ติดลบ

และสุดท้ายสำหรับ CFF ก็ควรเป็นลบเช่นกัน นั่นเพราะบริษัทที่ดีโดยปกติมักจะมีการ "จ่ายเงินปันผล" อยู่เสมอๆ จนทำให้รายการนี้ติดลบ แต่ถ้าเมื่อใดที่เป็นบวก นั่นอาจแปลว่ากิจการนั้นกำลังกู้เงินมาเพื่อขยายธุรกิจ หรือถ้ามองในแง่ร้าย มันอาจเป็นการเพิ่มทุนเพื่อประคองธุรกิจให้อยู่รอดก็ได้

แต่เจ้ากระแสเงินสดสามตัวนี้มันเกี่ยวข้องกับราคาหุ้นยังไง ? คือช่วงนี้ผมเองนั่งเก็บข้อมูลกับหุ้นในตลาดทุกตัวว่ามีสาเหตุอะไรบ้างที่ทำให้หุ้นขึ้น ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจมันมีอยู่อย่างนึงครับ คือหลายกิจการมีกำไรสุทธิโตขึ้น แต่ราคาหุ้นกลับไม่ไปนี่สิ ! หรือถ้าไปมันก็อาจไปสัก 50% แต่ใช้เวลาปีกว่าๆ ซึ่งนั่นไม่คุ้มกันเลยหากเทียบกับหุ้น CPF ที่เคยโต 10 เท่าในเวลาเดียวกัน

เพื่อให้เห็นภาพ นี่คือกราฟหุ้นของ BROOK  (ภาพ Week) มาดูกันดีกว่าว่าสมมติฐานที่ผมบอกไว้มันจะเป็นจริงสักแค่ไหน




ถ้าพิจารณาในแง่ของกราฟ ช่วงสีเขียวที่ผมวงไว้นั่นคือเทรนด์ขาขึ้นอย่างสวยงามครับ จะเห็นว่าตรงฝั่งซ้ายมือของกรอบเขียวนั้นมีสัญญาณซื้อเล็กๆ คือเส้น EMA ตัดขึ้น (เส้น 5 และ 10) แน่นอนว่าหุ้นมันก็ขึ้นจริงๆ แต่การเพิ่มขึ้นของราคานั้นไม่ได้มากเท่าไหร่คือประมาณ 2 เท่าในเวลา 1 ปี

แล้วในเรื่องของงบล่ะเป็นไงมั่ง ? ในที่นี้ผมจะขอใช้งบการเงินรายปีของงวดปี 2012 เลยนะครับ เพราะสัญญาณซื้อของหุ้นตัวนี้อยู่ในครึ่งหลังปี 2012 พอดี หลายคนอาจจะแย้งว่าเอ๊ะ ในเมื่อมันยังไม่จบปี 2012 เราจะใช้กำไรของปีนั้นมาคิดได้ไง (เพราะยังไม่ครบงวดเลย งบปี 2012 มันจะออกตอนมีนาคมปี 2013)

เหตุผลก็คือมันอยู่ช่วง "ครึ่งปีหลัง"  ซึ่งตอนนั้นกำไรของไตรมาส 2/2012 ก็ออกมาแล้ว นักลงทุนทั่วไปก็จะพอประเมินได้แล้วล่ะว่ากำไรทั้งปีอยู่ที่เท่าไหร่ (โดยการเอาสองไปคูณ) และนี่คือหน้าตางบของหุ้น BROOK



ถึงแม้กำไรสุทธิในปี 2012 นั้นจะสูงถึง 326 ล้านก็จริง (แถมมากกว่าปีก่อนที่ขาดทุนซะด้วยนะ) แต่ในส่วนของ "กระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงาน" นั้นน้อยลงครับ ปี 2012 นั้นอยู่ที 96 ล้าน ซึ่งน้อยกว่าปี 2011 ที่อยู่ประมาณ 134 ล้าน นั่นหมายความว่า กิจการมีกำไรเพิ่มขึ้นก็จริง แต่เงินที่ได้จากการทำธุรกิจกลับน้อยลงซะนี่ ! ซึ่งตลาดก็ตอบสนองโดยการที่หุ้นขึ้นไปเพียงแค่ 2 เท่า

แต่หากลองไปเทียบกับหุ้นอย่าง CPF ที่ผมบอกไปก่อนหน้านี้ สัญญาซื้อนั้นมาประมาณเดือนมิถุนายนปี 2009 ดังนั้นผมจึงใข้งบปี 2008 เทียบกับ 2007 หากเราไปเปิดดูจะรู้ว่านอกจากบริษัทจะมีกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 2,000 ล้านบาท ในส่วนของ CFO ก็เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน และผลลัพธ์ก็นำไปสู่การเป็นหุ้นสิบเด้ง

อีกจุดสังเกตนึงที่ผมเจอตอนเก็บข้อมูลก็คือ ถ้าหากสมมติงบการเงินของปีที่เราใช้เนี่ย.. สมมติผมใช้ปี 2014 ละกัน ถ้าหากกำไรสุทธิของปี 2014 อยู่ที่ 500 ล้าน ซึ่งน้อยลงจากปี 2013 ที่มีกำไรสุทธิอยู่ 1,000 ล้าน แต่ขณะเดียวกันกระแสเงินสดจากกิจกรรมการดำเนินงานเพิ่มขึ้น เชื่อรึเปล่าครับว่าหุ้นมักจะลงมากกว่าขึ้น ! 

ตลาดนี่มันก็แปลกเนอะ พอรู้แค่ว่าบริษัทมีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็ถูกไล่ไปซะสูง แต่พอเป็นบริษัทที่มีกำไรสุทธิน้อยลงทั้งๆ ที่ CFO เพิ่มขึ้น ราคากลับดันลงซะนี่

นี่เป็นแค่สิ่งที่ผมค้นพบและทดสอบด้วยตัวเอง อย่าเชื่อจนกว่าจะได้ลองพิสูจน์ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ งบกระแสเงินสดมันบอกอะไรได้มากกว่ากำไรสุทธิจริงๆ นะ แม้มันจะดูยาก แต่ถ้าเราไม่พยายามเพื่อที่จะรักษาเงินของตัวเองเลย เราก็โดนตลาดสูบเงินอยู่เรื่อยไปครับ

เหมือนที่เสี่ยยักษ์ชอบพูดเสมอ เพราะนี่คือสนามรบ เราแพ้ไม่ได้ จริงมั้ย ?

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น