ในการลงทุนหรือการทำธุรกิจสักอย่าง มันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ในบางครั้งอาจมีการ "ผิดพลาด" บ้าง คนที่ลงทุนในหุ้นอาจจะค้นพบว่าหุ้นที่ตัวเองซื้อนั้นผิดทางจนต้องขายตัดขาดทุน หรือคนทำธุรกิจในช่วงแรกอาจจะยังไม่มีใครมาเป็นลูกค้าเลยก็ได้ ไม่ใช่เรื่องผิดครับ เพราะเรื่องพวกนี้มันคือ No Pain, No Gain ผู้ที่ประสบความสำเร็จทุกคนมีแผลเต็มหลังทั้งนั้น
แต่สิ่งนึงที่ผมจะบอกเพื่อนผมเสมอก็คือ คัทอ่ะคัทได้นะ แต่อย่าคัทจนชิน (ถ้าสำหรับคนทำธุรกิจก็คือ ล้มได้นะ ล้มหลายครั้งก็ได้ แต่อย่าล้มจนชิน) มันอาจจะฟังดูวกวนไปบ้าง แต่ผมว่านี่อาจเป็นอุปสรรคใหญ่ที่หลายคนกำลังเจอแบบไม่รู้ตัวก็ได้นะ
ลองนึกภาพตามนะครับ คุณเพิ่งเริ่มเล่นหุ้นได้หมาดๆ อ่านตำรามาอย่างดี พอซื้อหุ้นตัวแรกก็ขาดทุน คัทลอสไปสิ ! พอซื้อตัวที่สองแล้วมันผิดทางอีก ก็คัทลอสสิ ! คัทไปคัทมาจนคุณมีวินัยมากๆ ถึงขั้นบอกกับตัวเองว่า "เออ กุซื้อหุ้นละ เดี๋ยวก็ต้องคัทอีก เชื่อสิ" และเมื่อหุ้นลงคุณก็ขายขาดทุนไปตามระเบียบ
หรือถ้าคุณกำลังทำธุรกิจอะไรสักอย่างให้ตัวเองร่ำรวย เริ่มด้วยการขายถุงยางแล้วกัน คุณทำธุรกิจนี้สักพักปรากฎว่าไม่รอด คุณก็หยุด แล้วมาเริ่มธุรกิจขายหนังเอวีต่อ แต่ก็ไม่รอด คุณก็หยุดอีก ลองแล้วล้มหลายๆ ครั้งจนกระทั่งคุณถึงกับบอกตัวเองว่า "เออ เดี๋ยวก็เจ๊งอีกเชื่อสิ" และผลลัพธ์หลังจากนั้นก็คือล้มเหมือนเดิม
เห็นอะไรรึเปล่าครับ มันมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ในตัวอย่างทั้งสอง มันคือ "ความเคยชิน" นั่นเอง และเป็น "ความเคยชินกับความพ่ายแพ้" ซะด้วย !
ผมไม่ได้บอกว่าการคัทลอสคือสิ่งที่ไม่ดีนะ หากสมมติคุณลงทุนในหุ้นสักตัวและรู้ว่ากราฟมันผิดทาง (หรือพื้นฐานเปลี่ยน) สิ่งที่ควรจะทำก็คือการขายมันทิ้งครับ แม้มันจะเป็นการขาดทุนก็ตาม เพราะหากเราดื้อดึงที่จะถือหุ้นต่อไป เงินทุนเราอาจหายไปครึ่งนึงเลยก็ได้ นี่คือข้อดีของการคัทลอสและเป็นสิ่งที่นักลงทุนควรจะทำให้ได้แบบไร้อารมณ์
แต่มันจะไม่ดีเมื่อเราคิดล่วงหน้าว่ายังไงก็ต้องคัทนั่นล่ะครับ มันเหมือนกับคุณแช่งตัวเองว่า เฮ้ย ซื้อหุ้นคราวนี้เตรียมคัทออกได้เลยนะ แม้จะดูเหมือนเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ที่คุณทำตามระบบได้อย่างเป๊ะๆ แต่ความจริงคือคุณแพ้ตั้งแต่ที่คิดว่าจะขาดทุนแล้วครับ
เรื่องของการทำธุรกิจเช่นกัน หากเอาแต่คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ มันจะล้ม มันจะต้องแพ้แน่ๆ มันก็คือการตอกฝาโลงให้ตัวเองดีๆ นั่นแหละ
ทุกอย่างในโลกล้วนต้องมีความพอดีครับ คุณสามารถระวังตัวได้และกำหนดได้ว่าจะขายหุ้นทิ้งตอนไหน (ผมเองจะขายเมื่อราคาหลุด EMA10) แต่ในขณะเดียวกัน คุณก็ต้องเชื่ออย่างสุดใจด้วยว่าคุณกำลังทำในสิ่งที่ถูกต้องและหุ้นจะต้องขึ้น หรือเชื่ออย่างสุดใจว่าธุรกิจที่คุณทำอยู่มันต้องสำเร็จ แม้มันจะมีความเสี่ยงที่ทำให้ล้มได้ แต่คุณเองก็วางแผนไว้อย่างดีแล้วนี่ครับว่าจะหนีตายยังไง จริงมะ
วางแผนไปสู่เป้าหมาย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องหาทางหนีทีไล่ แล้วทำตามระบบ เชื่อมั่นว่ามันได้ผล ถ้ามันไม่เป็นดังคาดก็ถอยแล้วตั้งหลักใหม่ ยังไงก็สำเร็จครับ แต่อย่าให้ "ความเคยชินกับการพ่ายแพ้" เกิดขึ้นในใจคุณเชียว !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น