2 กรกฎาคม 2558

ทุกคนต้องลงทุน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นนักลงทุนได้

ร้อยทั้งร้อยของคนที่ก้าวเข้าสู่ตลาดหุ้น ต่างก็ต้องการเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ มีชื่อเสียง และแน่นอนว่าต้องการร่ำรวย แต่โลกนี้มันช่างประหลาด ในขณะที่กลุ่มแรกพยายามอย่างถวายชีวิตเพื่อเป็นนักลงทุน กลับมีคนอีกกลุ่มนึงดันหลีกหนีมันแบบเอาเอาตายซะนี่


หากถามว่าใครกันเป็นฝ่ายที่ทำถูก ? ก็ถูกทั้งคู่ แล้วใครล่ะทำผิด ? มันก็ผิดทั้งคู่.. เพราะสัจธรรมในการลงทุนอย่างนึงที่เราต้องรู้ไว้ นั่นก็คือ ทุกคนต้องลงทุนครับ แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นนักลงทุนได้

เหตุผลที่ทุกคนต้องลงทุนผมอาจไม่ต้องอธิบายอะไรมากมาย เพราะใครต่อใครก็รู้ว่าหากจัดอันดับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนมากสุด หุ้นนั้นอยู่อันดับต้นๆ เสมอ สมมติว่าเราเกิดทันเมื่อสมัย 200 ปีก่อน แล้วลงทุนในตลาดหุ้นอเมริกาด้วยเงินเพียงแค่ 1 เหรียญ ด้วยผลตอบแทน 12% ของหุ้น มันจะกลายเป็นเงินถึง 8 ล้านเหรียญในวันนี้อย่างน่าตกตะลึง

แต่คนส่วนใหญ่กลับฝากเงินเนี่ยนะ ! มันน่าคิดๆ การฝากเงินเองมีข้อดีในตัวมันเพียงอย่างเดียว (ที่ผมนึกออกนะ) คือเรื่องของสภาพคล่อง เช่น ในการวางแผนทางการเงินที่ดีนั้นเราควรจะเก็บเงินใส่ธนาคารสัก 3-6 เท่าของค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน เพื่อเป็นเงินสำรองฉุกเฉินหากเราขาดสภาพคล่อง (อย่างเช่น ตกงาน หรือไม่มีใครจ้างงาน) นี่ล่ะคือข้อดีของเงินฝาก 


แต่ถ้าฝากเงินมากไปเมื่อไหร่ ผลเสียย่อมเกิดเมื่อนั้น เพราะผลตอบแทนของเราจะโดนเงินเฟ้อเล่นงานซะน่วม ดังนั้นหากมีเงินสดล้นเหลือ สิ่งที่เราจำเป็นต้องทำก็คือ หาที่อยู่ให้เงินเหล่านั้น ซึ่งรวมถึงการลงทุนด้วย หากเราเอาแต่เก็บเงินไว้กับสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ท้ายที่สุดแล้วตอนเราเกษียณ ข้าวแกงอาจจะปาไปจานละ 200 ถึงตอนนั้นเงินล้านก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว

ในกรณีที่ดีกว่านั้น หากเราเป็นมากกว่าเพียงแค่คนที่เอาเงินใส่ในหุ้นเพื่อหวังผลตอบแทน 12% แต่เราเลือกที่จะศึกษามันก่อนที่จะซื้อหุ้นแบบไม่ดูราคาหรือไม่ดูเวลา ดีไม่ดีผลกำไรในระยะยาวของเราอาจสูงถึง 20% เลยก็ได้ เมื่อถึงตอนนั้นเงินจะยิ่งโตกว่าเดิมอีกมากมายมหาศาล ทั้งหมดนี้ล่ะครับคือเหตุผลที่ทุกคนจำเป็นต้องลงทุน เพราะเมื่อถึงเวลาที่ไม่มีแรงทำงาน เงินที่เราสะสมและลงทุนมาอย่างชาญฉลาดจะสามารถเลี้ยงดูเราได้ไปจนตาย (หรืออาจถึงรุ่นลูกหลานเลยก็ได้)

ส่วนอีกข้อนึงที่ผมพูดคือ "ไม่ใช่ทุกคนที่จะเป็นนักลงทุนได้" มันดูสับสนในตัวเองพิกลๆ ใช่มั้ยครับ ? แต่ที่ผมพูดมาความหมายมันตรงตัวเลยล่ะ เพราะถึงผมจะย้ำว่าทุกคน "ต้องลงทุน" แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถเลี้ยงชีวิตด้วยการเป็น "นักลงทุน" ได้

ทำไมผมถึงพูดแบบนั้น ? จำกฎ 80:20 ที่ผมบอกไว้เมื่อบทความก่อนหน้านี้ได้รึเปล่า นั่นล่ะคือคำตอบ ถึงแม้เราจะพยายามอย่างยิ่งเพื่อให้เป็น 20% ที่อยู่รอดในตลาด แต่คนอื่นล่ะ เรารู้ได้ไงว่าฝีมือเรามันเจ๋งพอที่จะไปฟาดฟันกับเสือสิงห์กระทิงแรดเหล่านั้น เพราะตลาดหุ้นไม่ใช่สนามมวย ในการต่อยมวยยังมีการแบ่งไซส์ว่าผู้ชกต้องหนักไม่เกินเท่าไหร่ แต่ในตลาดหุ้น วันที่เราเทรดวันแรกก็อาจโชคดีเจอกับ Heavy Weight พอร์ตพันล้าน แล้วก็โดน Knock Out


นอกจากนี้การที่เราจะประสบความสำเร็จในการลงทุนแบบมากๆ ได้ นอกจากจะต้องใช้ฝีมือ ประสบการณ์ หรือความรู้ มันยังรวมถึง "โชค" อีกด้วย แม้โชคจะเป็นสิ่งที่มองไม่เห็นและจับต้องไม่ได้ แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามันมีอยู่จริงและมันทำให้เราแต่ละคนต้นทุนไม่เท่ากัน ถ้าโชคไม่มีจริง แล้วทำไมช่วงเวลาที่คนอื่นเค้ากำไร เราดันขาดทุนอยู่ล่ะ ?

แต่ผมก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้อมยอมแพ้ต่อโชคชะตาเหล่านั้น เพราะถ้าเรามีความพยายามอย่าง "บ้าคลั่ง" มากพอ เราก็สามารถเอนเอียงโชคให้มาอยู่ฝ่ายเราได้ แต่คำว่าบ้าคลั่งนี่สิคือสิ่งที่ทำให้หลายคนถอดใจ จะมีสักกี่คนที่พยายามอย่างหนักจนสามารถค้นหาสไตล์การลงทุนของตัวเองได้ เท่านั้นยังไม่พอ ยังต้องฝึกใจตัวเองไม่ให้วอกแวกพอเวลาตลาดตกต่ำอีกต่างหาก มันคือความ "พยายาม" คำง่ายๆ แค่นี้ล่ะคือเคล็ดลับของความสำเร็จ แต่เพราะไม่ง่ายเกินไป จึงมีไม่กี่คนเท่านั้นที่ยินดีจะทำตาม

กลับมาเรื่องของเราต่อ สุดท้ายแล้วการลงทุนมันเป็นสิ่งที่ควรทำหรือไม่ควรทำกันแน่ ? ยืนยันว่าควรทำครับ ทุกคนต้องลงทุนเพราะไม่อย่างนั้นโดนเงินเฟ้อกินหมด แต่ในขณะเดียวกัน สำหรับคนที่จริงจังกับการลงทุนมากๆ ก็ไม่ได้แปลว่าทั้งชีวิตของเค้าจะต้องเป็นนักลงทุนผู้โด่งดัง เพราะไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าเราจะก้าวไปสู่จุดนั้นได้ ไม่แน่ว่าบางครั้งสิ่งที่เราคิดว่าใช่ในวันนี้ มันอาจจะมีสิ่งที่ดีกว่ารออยู่ก็ได้

ยกตัวอย่างง่ายสุดเช่นตัวผมเอง ก่อนหน้านี้ก็สนใจแต่เพียงการลงทุนอย่างเดียวเหมือนกัน แต่ที่ผมรับรู้ได้ในตอนนั้นก็คือ มันเครียด บางวันหุ้นตกเราก็จิดตกตามเพราะมันคือ "สิ่งเดียว" ที่เรามีอยู่ในชีวิต แต่พอมาถึงวันนี้ ที่ผมทำทั้งงานประจำและธุรกิจส่วนตัว ถึงแม้หุ้นจะตกก็ตาม (เช่นวันที่เขียนบทความนี้) แต่ใจเราก็ไม่ได้เครียดตามไปด้วย เพราะเรารู้ตัวเสมอว่าเรายังมีสิ่งอื่นที่ทำเงินได้ดีอยู่ และไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ การที่หันเหความสนใจให้กับอย่างอื่นนอกจากหุ้น มันกลับทำให้ประสิทธิภาพในการเทรดดีขึ้นซะงั้น !


แล้วพอเวลาเรามีเงินเหลือจากการทำงานหรือการทำธุรกิจก็ตามแต่ เราก็เอาเงินก้อนนั้นแหละมาลงทุน อาจจะลงทุนแบบ Simple ที่สุดเช่นการซื้อกองทุนดัชนี ผ่านไป 50 ปีเราอาจเป็นเศรษฐีแล้วก็ได้ หรือถ้าเราศึกษาหาความรู้ เงินที่เราเก็บเล็กผสมน้อยสุดท้ายมันอาจโตไป 10 เท่าหากลงทุนในหุ้นถูกตัว เท่ากับว่าเราจะมีเครื่องจักรผลิตเงินทั้งสองอย่าง คือจากหุ้น และจากงานประจำหรือธุรกิจที่ทำอยู่ด้วย

เหมือนที่ผมย้ำอยู่เสมอ ว่าชีวิตมันเป็นเรื่องของการ "รักษาสมดุล" อะไรที่มากไปมันก็ไม่ดี อะไรที่น้อยเกินไปมันก็ไม่ดี ไม่แน่ว่าคนที่ใฝ่ฝันจะเป็นนักลงทุน อนาคตอาจเป็นนักธุรกิจผู้ประสบความสำเร็จ หรือคนที่ต้องการเป็น Steve Jobs คนต่อไป อาจกลายเป็น Warren Buffett No.2 ก็ได้.. ใครล่ะจะไปรู้ (:

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอให้เป็นวันที่ดี,
    ฉัน voorhees philip ฉันต้องการลงทุนในธุรกิจของคุณด้วยความสุจริตฉันมีเงินทุนสำหรับการลงทุนที่ทำกำไรฉันยังเสนอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์และสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่อปีต่ำมากถึง 3% ภายในระยะเวลาการชำระคืนหนึ่งปี เป็นส่วนหนึ่งของโลก

    คุณต้องการเครดิตที่อัตราดอกเบี้ย 3% ต่อปีสำหรับจำนวนเงินทั้งหมดที่คุณต้องการเงินทุนหรือการเป็นหุ้นส่วนหุ้น 50/50% เป็นระยะเวลา 1 ถึง 10 ปีหรือไม่? ฉันต้องการทราบทางเลือกของคุณเพื่อให้เราสามารถดำเนินการเจรจาได้จำนวนเงินทุนสูงสุดคือ $ 100million USD
    ติดต่อ EMAIL: info@voorhinvestcorp.com
    URL ของเว็บไซต์: http://voorhinvestcorp.com/
    WhatsApp: +1 4704068043
    LINE ID: philipvoor
    อีเมล: voorheesphilip@gmail.com
    ขอบคุณ
    VOORHEES PHILIP

    ตอบลบ