ผมว่าหลายๆ คนต้องเคยเล่นหุ้นแบบนกแก้วกันมาบ้างล่ะ ความหมายก็ประมาณว่า.. สมมติเราใช้ EMA สองเส้นคือ 15 และ 35 ในการซื้อขาย เราจะซื้อก็ต่อเมื่อเส้น 15 ตัดขึ้นเหนือเส้น 35 และขายเมื่อมันตัดลงอีกครั้ง ถูกมั้ยครับ และหากมีคนๆ นึงถามเราว่าเพราะอะไรถึงต้องทำแบบนั้น ส่วนใหญ่ก็อาจตอบว่า..
"เพราะตำรามันบอกแบบนี้น่ะสิ !" เนี่ยแหละคือนกแก้วที่ผมพูดถึง
ถามว่ามันถูกต้องรึเปล่าที่เราจะลงทุนตามที่คนอื่นเชื่อกัน ? ฟันธงไม่ได้หรอกครับ เพราะบางครั้งมันอาจถูก หรือบางครั้งมันอาจจะผิดก็ได้
อย่างตัว EMA เอง บางช่วงเวลาที่เจอไซด์เวย์หนักๆ มาร์เก็ตติ้งก็ยิ้มแฉ่งเพราะเราต้องเทรดบ่อยมาก แต่เมื่อถึงช่วงที่มีเทรนด์ใหญ่ การใช้เส้นค่าเฉลี่ยเพียงอย่างเดียวก็อาจทำเงินเป็นร้อยเปอร์เซ็นต์ได้
แต่สิ่งที่เรารู้แน่ก็คือ เมื่อถึงเวลาลงสนามจริงแล้วการลงทุนมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด หากสมมติว่าการเทรดให้ได้กำไรมันมีวิธีการง่ายๆ แค่ซื้อหุ้นเมื่อ RSI อยู่ในเขต Oversold และขายเมื่อมันไป Overbought ป่านนี้เราก็รวยกันทั้วโลกแล้วสิ
หรือแม้กระทั่งการลงทุนด้วยปัจจัยพื้นฐานก็ตาม ถึงแม้เราจะตีความได้ว่า เนี่ย งบบริษัทนี้ดีนะ D/E อยู่ที่เพียง 0.67 เท่า, ROE สูงตั้ง 20% แถมกำไรในปีที่ผ่านมาโตตั้ง 135% คำถามคือแล้วไงต่อ ? มันไม่มีอะไรรับประกันซะหน่อยว่าหุ้นตัวนี้พื้นฐานดีแล้วมันจะขึ้น หรือต่อให้บอกว่ามัน PE แค่ 8 เท่า แต่อะไรจะมารับประกันว่าซื้อแล้วได้กำไรแน่ๆ
กลับมาที่นกแก้วดีกว่าหลังจากออกทะเลไปไกล ผมถามเล่นๆ สักนิดครับ หากมีนกแก้วตัวนึงมันพูดว่า "ต้นหล่อที่สุด" แน่นอนล่ะว่าเจ้าของที่ชื่อว่าต้นต้องเตี๊ยมมันแน่ๆ แต่ถามว่ามันฉลาดรึเปล่า ? ฉลาดครับ แต่ฉลาดในแง่ของการท่องจำ ไม่ได้ฉลาดในแง่ของนักพูด เพราะมันแค่จำแล้วพูดตามเท่านั้น
นั่นล่ะครับคือโลกแห่งการลงทุน ใครสักคนนึงที่จำตำรามาใช้ลงทุนแบบเป๊ะๆ ค่าต้องเท่านี้ๆ ถึงจะซื้อได้ ต้องยอมรับว่าเค้าฉลาด แต่ฉลาดในแง่ของการจำ ไม่ได้ฉลาดในแง่ของการเทรด
เพราะนักจำที่ดีไม่ได้แปลว่าจะเป็นคนที่เทรดชนะตลาด การลงทุนให้ประสบความสำเร็จ มันไม่ใช้แค่จำมาเท่านั้น มันคือการ "ประยุกต์ใช้" ให้ถูกกับจริตเราและทำเงินได้ นั่นต่างหากครับคือความฉลาดอย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น